ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 47,457 จุด -797 จุด หรือ -1.65% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,737 จุด -113 จุด หรือ -1.66% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 22,870 จุด -536 จุด หรือ -2.29% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และนาสแดค ปิดหลุดระดับ 48,000 จุด และระดับ 23,000 จุด ตามลำดับ และยังสิ้นสุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 2 ติดกัน
สาเหตุจากนักลงทุน เกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับแนวโน้มและโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือนธันวาคมที่กำลังจะจะมาถึง เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ตกอยู่ในภาวะการขาดแคลนข้อมูลทางเศรษฐกิจ ที่จะใช้ประกอบในการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาชัตดาวน์ยาวนานถึง 43 วันติดกัน รวมถึงนักลงทุนวนกลับไปยังปัจจัยราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่มีราคาสูงเกินปัจจัยแท้จริง
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด หรือ ซีเอ็มอี วอทช์ ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 ปรากฎว่า มีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 51% จากเดิมที่ระดับ 67% สะท้อนถึงนักลงทุนมีความไม่มั่นใจสูงขึ้นที่เฟสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามติดต่อกันและมีความเป็นไปได้ที่เฟสจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับลดลงถึง 3 ครั้งในช่วงที่เหลือตั้งแต่ครึ่งปีหลังจนถึงสิ้นปีนี้