ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,890 จุด +55 จุด หรือ +0.14% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,620 จุด +23 จุด หรือ +0.42% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,918 จุด +102 จุด หรือ +0.57% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +2.9%, +3.9% และ +5.2% ตามลำดับ ทำสถิติดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ดีที่สุดในรอบ 1 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 เป็นต้นมา
สาเหตุจากนักลงทุนหวนกลับลงทุนรอบใหม่หลังจากทำกำไรหุ้นครั้งแรกในรอบ 8 วันทำการผ่านมาที่ดัชนีหุ้นปิดสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ การเปิดเผยบันทึกการประชุมดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายผ่านมาของเฟดในคืนผ่านมา พบว่า กรรมการส่งสัญญาณเหมือนจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ และในวันศุกร์นี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ จะขึ้นกล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐโดยเฉพาะมุมมองของดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในปัจจุบัน
ก่อนหน้านึ้เมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคมผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติดัชนีหุ้นตกต่ำเลวร้ายที่สุดในรอบ 1 ปี 10 เดือน หรือตั้งแต่กันยายน 2022 นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดดำดิ่งกว่า 15% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเดือนกรกฎาคมผ่านมา ที่สำคัญ ดัชนีหุ้นนาสแดคเข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction
ขณะที่ในเดือนสิงหาคม ซึ่งผ่านมาครบ 3 วันทำการแรก ยังพบว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดร่วงแรง -6.2%, -7.0% และ -8.53% ตามลำดับ ส่งผลในแง่เปอร์เซ็นต์ทำสถิติดัชนีหุ้นดำดิ่ง 3 วันทำการติดต่อกันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 1 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายนปี 2022 และในแง่จำนวนจุดเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2020
สถานการณ์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ เข้าสู่ภาวะขาลงอย่างรุนแรง จากในวันที่ 5 สิงหาคมมานั้น ดัชนีหุ้นนาสแดคกลายเป็นดัชนีหุ้นแรกที่เข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction ในขณะที่ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง -6.5% และ -8.7% เทียบจากสถิติดัชนีหุ้นหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ที่สำคัญ ตลาดหุ้นทั่วโลกใน 3 สัปดาห์ผ่านมา เสียหายรวมกันกว่า 6.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 230.4 ล้านล้านบาท
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนถึง 0.5% อยู่ที่ 54% จากเดิมที่ 49% และลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% มีโอกาสอยู่ที่ 77.5% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50%
สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปรากฎว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +1.1%, +3.5% และ +6% ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันจากทั้งหมดใน 8 เดือนผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 พบว่า ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดสวนทางกัน -1.7%, +3.9% และ +8.3% ตามลำดับ นอกจากนี้ สิ้นสุดครึ่งปีแรก หรือนับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน พบว่า ดัชนีสำคัญดังกล่าวปิดเพิ่มขึ้น +3.8%, +14.5% และ +18.1% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ