ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 43,389 จุด -55 จุด หรือ -0.13% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,893 จุด +23 จุด หรือ +0.39% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 18,791 จุด +111 จุด หรือ +0.60% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -0.5%, -0.8% และ -0.9% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดในสัปดาห์ผ่านไปหลุดระดับ 44,000 จุด และ 6,000 จุด ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนขายหุ้นกลุ่มบลูชิปต่อเนื่องเพื่อทำกำไรเกิดขึ้นหลังจากดัชนีหุ้นปรับสูงขึ้นต่อเนื่องมาในช่วง 9 วันผ่านมา หรือนับตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมองว่าปัจจัยทรัมป์เทรดได้ผ่อนคลายลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้เข้าลงทุนหุ้นบริษัทเทสลาอย่างคึกคัก รับกระแสข่าวรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมทบทวนกฎเกณฑ์รถยนต์ขับอัตโนมัติ
นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงผ่านมาอยู่ในภาวะดีอย่างน่าทึ่ง เศรษฐกิจสหรัฐไม่มีสัญญาณใดๆ ที่ทำให้เฟดต้องเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เฟดสามารถที่จะพิจารณาการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยด้วยความละเอียดอ่อน และระมัดระวังต่อไป นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเส้นทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสมกับภาวะปกตินั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เฟดจะต้องระมัดระวัง ดังนั้น นี่อาจจะเป็นกรณีที่เฟดชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างความมั่นใจว่าเฟดได้บริหารได้ถูกทาง
ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงอ่อนค่าลงจากสถิติแข็งค่าสูงขึ้นในรอบ 1 ปี พร้อมกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลดลง ขณะที่ตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ มีโอกาสที่ 72% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25%
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 43,729 จุด +1,508 จุด หรือ +3.57% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,929 จุด +146 จุด หรือ +2.53% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 18,983 จุด +544 จุด หรือ +2.95% ในวันดังกล่าวไม่เพียงส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นเหนือระดับ 43,000 จุดเป็นครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ แต่ยังทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ สอดรับกับดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -0.2%, -1.4% และ -1.5% ตามลำดับ
บรรยกาศการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 6 พฤศจิกายนนั้น เต็มไปด้วยความร้อนแรงสุดคึกคักนับตั้งแต่เปิดตลาดนาทีแรก ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 9.30 น. ซึ่งตรงกับเวลา 21.30 น. ของไทยในคืนผ่านมา พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เปิดระดับ 43,528 จุด +1,306 จุด หรือ +3.09% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ระดับ 5,901 จุด +118 จุด หรือ +2.06% และดัชนีหุ้นนาสแดคเปิดที่ 18,818 จุด +379 จุด หรือ +2.06% ไม่เพียงส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เปิดตลาดซื้อขายพุ่งสูงขึ้นกว่า 3% ขึ้นไป ทำสถิติดัชนีหุ้นพุ่งกระฉูดมากที่สุดใน 1 วัน ที่คึกคักที่สุดในรอบ 1 ปี 4 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายน 2023 เป็นต้นมา แต่ยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน เมื่อเวลา 05.30 น.(ตามเวลาในสหรัฐ) หรือตรงกับ 17.30 น. ดัชนีหุ้นล่วงหน้า หรือ Future ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นสำคัญพุ่งทะยานสูงขึ้น ประกอบด้วย ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ที่ระดับ 43,598 จุด +1,217 จุด หรือ +2.85% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ระดับ 5,945 จุด +133 จุด หรือ +2.27% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 20,696 จุด +354 จุด หรือ +1.76%