ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 39,150 จุด +15 จุด หรือ +0.04% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,464 จุด -8 จุด หรือ -0.16% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,689 จุด -32 จุด หรือ -0.18% ส่งผลหยุดดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 7 วันทำการติดกันเป็นวันที่ 2 และหยุดดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ถึง 31 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพฤหัสบดี 20 มิถุนายนผ่านไปนั้น ดัชนีหุ้นนาสแดคสูงสุดระหว่างวันนั้น เพิ่มขึ้นเหนือระดับ 5,500 จุดเป็นครั้งแรกและเป็นประวัติศาสตร์ ไปอยู่ที่ระดับ 5,503.53 จุด
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง เพิ่มขึ้น +1.45%, +0.01% และ +0.6% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทำสถิติรายสัปดาห์ดีที่สุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง
สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.2% และทำสถิติแข็งค่าสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้น หลังจากตัวเลขกิจกรรมธุรกิจในสหรัฐเมื่อเดือนมิถุนายนนี้พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 26 เดือน ส่งผลโอกาสลดดอกเบี้ยสหรัฐเป็นไปได้น้อยลง
นักลงทุนทำกำไรหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และไมโครชิป หลังมีความคึกคักอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายวันผ่านมา นำโดยหุ้นบริษัทเอ็นวีเดียที่ปิดลดลง 3.2% ในคืนผ่านมา อย่างไรก็ตาม มูลค่าของบริษัทเอ็นวีเดียแตะหลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 111 ล้านล้านบาท ส่งผลมีมูลค่าบริษัทแซงบริษัทไมโครซอฟต์ อินคอร์ปอเรชั่น เป็นผลสำเร็จ โดยราคาหุ้นเอ็นวีเดียพุ่งทะยานถึง 155% เมื่อวันพฤหัสบดีที่พุ่งขึ้น 160% และเมื่อวันอังคารที่พุ่งขึ้นถึง 174% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนลดลงเป็น 64% จากเดิมที่ 69% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50% หลังจากในช่วงเริ่ผ่านมา มีการประเมินว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกอาจเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน จากที่เคยให้น้ำหนักมาที่เดือนกันยายน
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ