ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 39,134 จุด +299 จุด หรือ +0.77% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,473 จุด -13 จุด หรือ -0.25% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,221 จุด -140 จุด หรือ -0.79% ส่งผลหยุดดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 7 วันทำการติดกัน และหยุดดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ถึง 31 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นนาสแดคสูงสุดระหว่างวันนั้น เพิ่มขึ้นเหนือระดับ 5,500 จุดเป็นครั้งแรกและเป็นประวัติศาสตร์ ไปอยู่ที่ระดับ 5,503.53 จุด
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสวนทางกัน ลดลง -0.5%, +1.6% และ +3.2% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนทำกำไรหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และไมโครชิป หลังมีความคึกคักอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายวันผ่านมา นำโดยหุ้นบริษัทเอ็นวีเดียที่ปิดลดลง 3.5% ในคืนผ่านมา อย่างไรก็ตาม มูลค่าของบริษัทเอ็นวีเดียแตะหลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 111 ล้านล้านบาท ส่งผลมีมูลค่าบริษัทแซงบริษัทไมโครซอฟต์ อินคอร์ปอเรชั่น เป็นผลสำเร็จ โดยราคาหุ้นเอ็นวีเดียพุ่งทะยานถึง 160% ตากเมื่อวันอังคารผ่านมาที่พุ่งขึ้นถึง 174% นับตั้งแต่ต้นปีนี้นอกจากนี้ ตัวเลขยอดสร้างบ้านใหม่เดือนพฤษภาคมในสหรัฐอเมริกาลดลง
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนลดลงเป็น 64% จากเดิมที่ 69% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50% หลังจากในช่วงเริ่ผ่านมา มีการประเมินว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกอาจเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน จากที่เคยให้น้ำหนักมาที่เดือนกันยายน
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ