พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ กำลังเดินไปสู่จุดพลิกผันสำคัญ 5 ข้อ ดังนี้
จุดพลิกผัน 1 คือสงครามการค้ารอบใหม่ ทำให้สินค้าส่งออกของไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง เสี่ยงได้รับผลกระทบ โดยเฉาพะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอุตสาหกรรม ที่อาจถูกเก็บภาษีนำเข้าสูง 40-60%
จุดพลิกผันที่ 2 ได้แก่ เศรษฐกิจนอกระบบของไทยที่มีขนาดใหญ่ถึง 48% เกือบครึ่งของไทยอยู่นอกระบบ ทำให้มองไม่เห็นข้อมูลที่เป็นจริงของเศรษฐกิจ ทั้งรายได้ สภาพความเป็นอยู่ สวัสดิการของคนไทย ดังนั้น หากปีนี้สามารถผันเศรษฐกิจนอกระบบบางส่วนให้เข้ามา หรือวางโรดแมฟ ให้เกิดการทำส่วนนี้มากขึ้น เพื่อดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ จะสามารถตอบโจทย์ศักยภาพ และสะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชนได้มากขึ้น
จุดพลิกผันที่ 3 อุตสาหกรรมยานยนต์ภายใต้ Perfect Storm ที่ถูกดิสรัปชันจากเทคโนโลยี จากประเทศไทยที่เคยเป็นแชมป์เปียนส์ หรือแหล่งผลิตรถยนต์รายใหญ่ ทำให้รถยนต์สันดาปยากที่จะกลับไปสู่ยุครุ่งเรื่อง โดยคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2568-2569 อยู่ที่ 1.47-1.53 ล้านคันต่อปี ลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต 15% จากปัจจัยด้านกำลังซื้อของครัวเรือนไทย จากกระแสของ EV และการแข่งขันด้านราคารุนแรงจากการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ อาจทำให้ “แรงงาน” เผชิญความเสี่ยงมากขึ้นในระยะข้างหน้า กรุงไทยฯ คาดว่า แรงงานเก่า 110,000 คน ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเสี่ยงต้องย้ายในทำงานในอุตสาหกรรมอื่น ซึ่งคิดเป็น 16.3% ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หากยอดผลิตรถยนต์อยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง ผู้ผลิตไม่สามารถปรับตัวได้
จุดพลิกผันที่ 4 หนีไม่พ้น ภาคการท่องเที่ยว โดยคาดปีนี้นักท่องเที่ยวจะกลับมาที่ 39-40 ล้านคน ถือว่าเป็นการกลับเข้าสู่ภาวะปกติเช่นในอดีต แต่หากดูรายได้ท่องเที่ยวปัจจุบัน รายได้ต่อหัวยังค่อนข้างทรงตัว ดังนั้น ต้องหามิติการเติบโตใหม่สำหรับภาคการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้าไทย เพื่อเพิ่มเม็ดเงินท่องเที่ยวให้สะพัดมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่ม Man-made ในปี 2568 จะอยู่ที่ราว 58,300 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปกว่า 19%
สุดท้าย จุดพลิกผันที่ 5 คือ การปลดพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง และอยู่ภายใต้ครัวเรือนที่มีความเปราะบางอย่างมาก เหล่านี้ไม่สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เต็มที่ เช่นเดียวกันเอสเอ็มอี ที่โดนพันด้วยพันธนาการหลายด้านที่ฉุดรั้งการแข่งขันของเอสเอ็มอี ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่ทำให้ธุรกิจไม่คล่องตัว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยโตไม่เต็มศักยภาพชัดเจน โดยเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 2.5-3% ถึงแม้การจ้างงานอยู่ระดับสูง แต่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง คนรู้สึกรายได้ไม่ดีมากนัก ขณะที่มองว่ามาตรการภาครัฐอาจไม่ตรงจุดบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.7% ภายใต้การคาดการณ์ส่งออกขยายตัว 2%