ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ได้ปรับมุมมองที่มีต่อแนวโน้มราคาหุ้นและหารลงทุนหุ้นของ บีวายดี ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีสัญชาติจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นบีวายดีที่ซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นเสินเจิ้น ขึ้นมากกว่า 80% มาเป็นหุ้นละ 475 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือกว่า 2,210 บาท และหุ้นละ 440 หยวน หรือกว่าหุ้นละ 2,190 บาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังแนะนำระดับการลงทุนหุ้นบีวายดีที่ระดับเพิ่มการลงทุน หรือ Overweight ไว้เหมือนเดิม โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 บีวายดีจะผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ในตลาดโลกที่ 1.5 ล้านคัน และเป็นจำนวนมากกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับภายในประเทศ นอกจากนี้ ภายใน 2 ปีจากนี้ไป คาดการณ์ว่าบีวายดีจะส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ไปทั่วโลกราว 6 ล้านคันในอีก 2 ปีข้างหน้า ทั้งนึ้ ในปี 2023 บีวายดีสามารถทำยอดขายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคัน
บีวายดีได้เน้นการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ในตลาดต่างประเทศ ด้วยการใช้กลยุทธ์ด้านราคาขายที่เข้าร่วมกับการแข่งขันด้านสงครามราคารถยนต์ในตลาดรถยนต์ในประเทศจีน จากกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นบีวายดีมีราคาตกต่ำในช่วงผ่านมา แต่ยังมีราคาฟื้นตัวขึ้นราว 12% ในปีนี้ที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ในขณะที่ ราคาหุ้นของแบรนด์รถอีวีสัญชาติจีนรายอื่นๆ ยังคงมีราคาดำดิ่ง เข่น ราคาหุ้นของแบรนด์เอ็กซ์เผิง(XPeng) และ ราคาหุ้นของแบรนด์ลี ออโต้ อิงค์ หรือยี่ห้อลี(Li) ทั้ง 2 บริษัทมีราคาหุ้นดิ่งลงกว่า -45% นับตั้งต้นปีนี้
ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า บีวายดีจะเริ่มส่งออกรถอีวีประเภทปลั๊กอินไฮบริดด้วยราคาขายที่แข่งขันได้ดี ในชื่อรุ่นซีล เอสยูวี ไปยังตลาดยุโรปตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป และส่งออกรุ่นชาร์ค (Shark) ไปยังเม็กซิโกตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภายในปี 2026 บีวายดีจะสร้างความสำเร็จอย่างสำคัญสำหรับเป้าหมายไปสู่ทั่วโลก เนื่องจากฐานการผลิตของบีวายดีในต่างประเทศทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย บราซิล และฮังการี จะเสร็จสมบูรณ์ และเร่งการผลิตนอกประเทศจีนมากขึ้น