ธนาคารยูบีเอส เอจี ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่และชื่อดังระดับโลกจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เปิดเผยการคาดการณ์ราคาทองคำตลาดโลกในปี 2024 นี้ ทบทวนทิศทางราคาทองคำตลาดโลกใหม่ คาดการณ์ว่า ในเดือนกันยายนนี้ ราคาทองคำโลกจะปรับเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และจะมีราคาคาดการณ์แตะเป้าหมายที่ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในสิ้นปี 2024 นี้ ที่น่าสนใจ คือ ได้เปิดทิศทางเป้าหมายราคาทองคำโลกในอีก 12 เดือนข้างหน้า หรือถึงเดือนมิถุนายน 2025 จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ปัจจัยบวกมาจาก 3 ด้าน ได้แก่ การลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ ถึงแม้ธนาคารกลางสหรัฐจะมีความลังเลใจที่จะสาฃสัญญาณลดดอกเบี้ยให้ชัดเจน แต่ในที่สุดเป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น ขณะนี้ โอกาสลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้
ปัจจัยที่ 2 คือ ความต้องการซื้อทองคำสะสมต่อเนื่องของบรรดาธนาคารทั่วโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะทำสถิติซื้อทองคำแท่งรวมกันเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ในช่วงระยะเวลาใกล้ๆนี้ โดยคาดการณ์ว่า คลังสำรองทองคำแท่งของธนาคารกลางทั่วโลกรวมกันจะเพิ่มขึ้นมีจำนวนที่ 950-1,000 ตันภายในปีนี้ สอดรับกับสภาทองคำโลก เปิดเผยว่า ในช่วงทุกๆ 2 ปีที่ผ่านมาล่าสุดนั้น ปริมาณคลังสำรองทองคำแท่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ตัน
ปัจจัยสุดท้าย คือ ความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคสำคัญของโลก ซึ่งถูกประเมินว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในยุโรประหว่างรัสเซียและยูเครน ในตะวันออกกลาง คืออิสราเอลกับปาเลสไตน์
ย้อนกลับไปเมื่อ 24 พฤษภาคมผ่านมา ธนาคารยูบีเอส เอจี เปิดเผยการคาดการณ์ราคาทองคำตลาดโลกในปี 2024 นี้ ว่า ได้ปรับขึ้นราคาเป้าหมายทองคำตลาดโลกเป็น 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่เคยประเมินว่าจะอยู่ที่ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปัจจัยบวกมาจาก ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายชุดในภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับภาวะเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดต่ำลง แนวโน้มชัดเจนเกี่ยวกับความต้องการซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกยังมีต่อเนื่อง และความไม่สงบในปัญหาความขัดแย้งในหลายภูมิภาคที่มีต่อเนื่อง โดยเฉพาะระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ กับจีนไต้หวัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ผ่านมา ธนาคารยูบีเอส เอจี มองแนวโน้มราคาทองคำในสิ้นปีนี้จะปรับสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด จะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นครั้งแรกในรอบ 1 ปีกว่า ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ตลาดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะเทขายออกเพื่อรับกับการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปีนี้