นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบริษัทซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ป ประเทศไทย ประกาศยุติการผลิตรถยนต์ในโรงงานในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2568 มีดังนี้
ตั้งแต่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา เรื่องการผลิตรถสันดาปที่มาจากประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ และเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า เราได้มีการเจอกับผู้ผลิตรายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มาสด้า มิตซูบิชิ ว่าเขาอยากได้มาตรการอะไรจากเราบ้าง
เขาอยากได้และมีการไปทำข้อตกลงตามที่เขาอยากได้ และในวันที่ 17 ธันวาคมปีที่แล้ว ตนได้เข้าร่วมประชุมอาเซียนเจแปนครบรอบ 50 ปีกับผู้ประกอบการหลายรายที่เป็นบริษัทผู้ประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ได้มีการพูดคุยและให้ความมั่นใจต่อกัน และเขาก็มีความมั่นใจพร้อมเพิ่มมูลค่าการลงทุนในไทย
“แน่นอนว่าเราเคารพการตัดสินใจของ ซูซูกิ แต่ต้องยอมรับว่า ส่วนแบ่งการตลาดของเขาค่อนข้างน้อย อีกทั้งการผลิตของเขาอาจจะไม่ตรงความต้องการของไทย ก็ขอให้เขาโชคดี ในการมีแผนงานใหม่เข้ามา แต่เราก็ยังมีอีก 6-7 บริษัท ก็มีเพียงบริษัทซูซูกิบริษัทเดียวที่ถอนตัวจากไทย และเชื่อว่าผลบวกเรายังมีอีกมาก แต่อย่างไรก็ตาม ซูซูกิยังผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย อีกทั้งยังมีศูนย์บริการจำหน่ายอะไหล่และซ่อมบำรุงด้วย ยังสามารถให้บริการลูกค้าคนไทยได้อย่างต่อเนื่อง”
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน 2567 ผ่านมา ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น มีประกาศถึงการตัดสินใจยุติการผลิตที่โรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทในเครือในประเทศไทย “บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” (ซึ่งต่อไปนี้จะถูกเรียกว่า ” SMT) ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 โดยการ ตัดสินใจในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนโครงสร้างการผลิตของซูซูกิทั่วโลก
ตามที่รัฐบาลไทยได้มีการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์อีโคคาร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550
ในเวลาดังกล่าวชูซูกิได้สมัครเข้าร่วมโครงการและ ก่อตั้ง SMT ขึ้น ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจึงได้มีการเริ่มดำเนินการผลิตขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา โดยสามารถผลิตและส่งออกได้มากถึง 60,000 คันต่อปี ทั้งนี้ด้วยการส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอนและการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของทั่วโลก ซูซูกิได้มีการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระดับโลก จึงได้ตัดสินใจยุติการดำเนินการของโรงงาน SMT ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 นี้
แม้จะมีการยุติการดำเนินการของโรงงานในประเทศไทย แต่ SMT จะยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในการจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยต่อไป ซึ่งจะมีการปรับแผนธุรกิจเป็นการนำเข้ารถยนต์จากโรงงานใน ภูมิภาคแถบอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย
นอกจากนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนและให้สอดคล้องในการบรรุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายของภาครัฐบริษัทฯ จะมีการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ รวมถึง HEVS เข้าสู่ตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน