นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ X (ทวิตเตอร์) ส่วนตัวถึงประเด็นเศรษฐกิจหลายเรื่อง โดยนายกรัฐมนตรีได้ระบุว่า เรื่องเศรษฐกิจโดยรวม เราเห็นสภาพชัดจากการปิดโรงงานเพราะขาดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมีความเห็นต่างกันเยอะกับคําว่าวิกฤติหรือไม่วิกฤต ตลอดจนเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจ 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีไทยโตต่ำมาก ไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ส่งผลให้การบริโภคในประเทศโตเฉลี่ย 3% ต่อปีเท่านั้น
“การเจริญเติบโตเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็น K-Shape หรือเป็นพีระมิด คือช่วงบนโต คนที่รวยแล้วก็คือรวยอีก รวยไปเรื่อย ๆ คนจนก็คือจนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากช่วงของวิกฤติโควิด ทําให้เห็นชัดขึ้นว่าในสังคมไทย การลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนค่อนข้างต่ำอยู่แค่ 1% เท่านั้น ส่งออกก็ติดลบ นําเข้าก็นําเข้าสินค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าวัตถุดิบและพลังงาน นี่เป็นเหตุผลที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น และเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาว” นายเศรษฐาระบุ
ตั้งความหวังดิจิทัลวอลเล็ตฟื้นเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่าการอุปโภคบริโภคในประเทศของคนไทย ถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง ที่ผ่านมาเราโชคดีที่พยุงเศรษฐกิจส่วนนี้ไว้ด้วยการท่องเที่ยว คนไทยจำนวนมากกำลังอ่อนแรง การใช้จ่ายที่ลดลงทำให้โรงงาน ภาคการผลิต การจ้างงาน ก็อ่อนลงตาม ซึ่งหากไม่กระตุ้นให้แรงพอ เศรษฐกิจก็จะฟื้นไม่ได้
“ในเรื่องนี้กระเป๋าเงินดิจิทัลจะเป็นยาแรง ที่มากอบกู้เศรษฐกิจในภาคการบริโภค เชื่อมโยงไปสู่ภาคการผลิต และอีกหลาย ๆ มาตรการที่ออกไป เช่น การลดราคาพลังงาน การพักหนี้ การขอให้ธนาคารช่วยลดดอกเบี้ยสำหรับกลุ่มเปราะบาง ก็จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับทุกๆ ครัวเรือน และพี่น้องประชาชนทุกคน สุดท้าย จะทิ้งการท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะยังเป็นตัวแบกเศรษฐกิจอยู่ในปัจจุบันและปีหน้านี้ จึงเป็นที่มาของการโปรโมทการท่องเที่ยว ดึงดูดเงินต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
ชี้เศรษฐกิจไทยเจอ 5 โจทย์ใหญ่ นายกรัฐมนตรียังอธิบายด้วยว่าประเทศไทย มีปัญหาอยู่ 5 ข้อด้วยกัน
1. จากที่เห็นโรงงานปิดตัวลง สะท้อนถึงอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เป็นอุตสาหกรรม Champion ของเรา ปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ไม่ทัน เราปรับตัวช้า ถึงต้องมีการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องมีการเจรจาเอาบริษัทเทคใหญ่ๆ อย่าง Google Microsoft Amazon Web service (AWS) เข้ามา เพื่อสร้าง Data Center ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ เอารถไฟฟ้า EV เข้ามาเพื่อให้มีการเปลี่ยนผ่านจากรถสันดาปไปเป็น EV รวมถึง Hybrid เพื่อที่จะให้ supply chain ทั้งหมดแข็งแกร่งและอยู่ต่อไปได้
2. เรานำเข้าพลังงาน และวัตถุดิบ เพื่อมาผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก ในขณะที่เราเป็นผู้ผลิตที่อยู่กลางน้ำ ผลิตชิ้นส่วนเป็นหลัก
3. เราอยู่ในช่วงเวลาที่มีสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ เรื่องต้องบาลานซ์จุดยืนของไทย ไม่ทะเลาะกับใคร พร้อมที่จะเป็นคู่ค้าของทุกคนเพื่อให้ส่งออกได้มากขึ้น ต้องเดินทางไปพูดคุยกับหลายประเทศทั่วโลกเพื่อสร้างความมั่นใจให้เขามาลงทุนและซื้อสินค้าบ้านเรามากขึ้น
4. การลงทุนก็ต่ำ ครั้งสุดท้ายที่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่คือสนามบินสุวรรณภูมิ สมัยท่านนายกฯ ทักษิณเมื่อสักเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
และ 5. การบริโภคในประเทศไทย หากเราตัดภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็น Growth Engine ที่ไม่ใช้งบประมาณ ก็จะถือว่าไม่มีการเจริญเติบโตเท่าที่ควรนะครับ ดังนั้นการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมดนี้ เพื่อจะสร้างผลกําไรให้กับพี่น้องประชาชน ทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น