นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการการะทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (30 ม.ค. 67) ว่าที่ประชุม ครม. ได้พิจารณาถึงกรณีที่หลายหน่วยงานได้เสนอคำของบประมาณประจำปี 2568 ที่ก่อภาระหนี้ผูกพัน ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยขอให้หน่วยงานดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบการใช้เงินเกี่ยวกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งดูแลเด็กที่หลุดออกนอกการศึกษาประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อส่งเสริมให้จำนวนเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ให้ได้ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout และเห็นชอบในกรอบวงเงินด้านอุดมศึกษา และเห็นชอบในกรอบวงเงินด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อพิจารณาให้คนไทยมีทักษะเพิ่ม ส่งเสริมความสามารถของสตาร์ทอัพและ SME
สำหรับการขอวงเงินงบประมาณผูกพันข้ามปี รวมทั้งหมด 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย 69 โครงการ รวมวงเงินงบที่ 181,000 ล้านบาท โดยผูกพันตั้งแต่ปี 67-68 และบางหน่วยงานเสนอถึงปี 70-71 ระยะเวลาผูกพันแตกต่างกันออกไป
ทั้งนี้ ครม. ได้มอบให้และสั่งการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณไปพิจารณาในรายละเอียดงบประมาณงบผูกพันดังกล่าวว่า โครงการที่เสนอมานั้นถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่
“งบที่เสนอมาทั้ง 69 โครงการ ให้สำนักงบประมาณ และ สศช. ไปดูว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสอดคล้องกับนโยบายที่เสนอต่อรัฐสภาหรือไม่ เช่น คมนาคม เสนองบผูกพัน 40 กว่าโครงการ ผูกพันตั้งแต่ปี 68-75 รวม 96,000 กว่าล้านบาท ครม. เห็นชอบในหลักการแต่ยังไม่อนุมัติในงบดังกล่าว โดยรับทราบ เห็นชอบที่เสนอมา โดยให้ 2 หน่วยงานไปพิจารณาต่อ”