ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 38,333 จุด +224 จุด หรือ +0.59% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,927 จุด +36 จุด หรือ +0.76% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 15,628 จุด +172 จุด หรือ +1.12% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ขณะที่ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่เช่นกัน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคยังห่างจากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 16,057 จุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2022 และสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 16,121 จุด
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +0.7%, +1.1% และ +0.9% ตามลำดับ สอดรับกับตั้งแต่ต้นปีนี้ พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +1.7%, +3.3% และ +4.1%
สาเหตุจากผลประกอบการกลุ่มเทคโนโลยียังคงทยอยประกาศออกมามีทั้งเป็นไปตามคาด และเกินคาด ที่สำคัญ นักลงทุนรอการแถลงมุมมองอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐในการประชุมครั้งแรกของปีนี้ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30-31 มกราคมนี้ ขณะที่ตัวเลขรายจ่ายส่วนบุคคลชาวอเมริกันในเดือนธันวาคม 2023 พบว่าในแง่เทียบเดือนต่อเดือนเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ในแง่เทียบช่วงเดียวกันกับในปีผ่านมา พบว่าลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 2.9% จากเป้าหมายที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.0%
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ขยายตัวสูงถึง 3.3% ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวที่ 2% ทำให้ตลอดทั้งปีผ่านไป เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเติบโตที่ 2.5% นอกจากนี้ แรงส่งทางจิตวิทยาในการภาวะตลาดหุ้นกระทิงของดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ผ่านมา ยังคงมีผลให้นักลงทุนมั่นใจในภาวะการลงทุนหุ้นสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงอ่อนค่าในรอบ 1 เดือน นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี พลิกลดลงในช่วงแคบๆ
ทั้งนึ้ ตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่าเฟดวอช์ท พบว่ามีโอกาสอยู่ที่ 43.5% จากเดิมที่ 80% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยดังกล่าวครั้งแรก 0.25% ในเดือนมีนาคมปี 2024