วันนี้ 10 กันยายน 2025 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ ขอแจ้งสถานการณ์ล่าสุดสืบเนื่องจากการชุมนุมประท้วงต่อต้านการทุจริตและมาตรการห้ามใช้สื่อสังคมออนไลน์ของรัฐบาลเนปาล โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) ส่งผลให้ทางการเนปาลบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ดังนี้
1. กองทัพเนปาลได้เพิ่มมาตรการรักษาความสงบ โดยจัดกำลังตรวจเข้มตามพื้นที่สำคัญและส่งเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในเมืองหลัก พร้อมทั้งประกาศ คำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน (Prohibitory Orders) จนถึงเวลา 17.00 น. ของวันที่ 10 กันยายน 2568 และประกาศ เคอร์ฟิว (Curfew) ต่อเนื่องจนถึงเวลา 6.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน 2568
2. ทางการเนปาลได้ขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่ในความสงบและในที่ปลอดภัย โดยยืนยันว่าสถานการณ์กำลังค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติและอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานด้านความมั่นคง
3. สถานะปัจจุบัน สนามบินนานาชาติตรีภูวัน (Tribhuvan International Airport) ปิดทำการชั่วคราวจนถึงเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (10 กันยายน 2568) ขอให้คนไทยตรวจสอบข้อมูลเที่ยวบินกับสายการบินของท่านก่อนออกเดินทาง
4. สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการช่วยเหลือคนไทยในกรณีจำเป็น กรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่ โทรศัพท์: + 977 9818749944 สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้คนไทยในเนปาลเพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม และติดตามข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตฯ อย่างใกล้ชิด
ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ 9 กันยายน 2025 เหตุประท้วงรุนแรงในเนปาลทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 3 ราย ส่งผลมีผู้เสียชีวิตสะสมรวม 22 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีก 209 คนถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในวันเดียวกันนี้ แต่มี 186 คนได้รับอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ความรุนแรงของการประท้วงมีขึ้นอีก เนื่องจากผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาแห่งชาติในกรุงกาฐมาณฑุ และจุดไฟเผาทั้งอาคารเสียหายยับเยิน
ขณะที่นายกรัฐมนตรี เคพี. ชาร์มา โอลี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบแล้ว แต่ผู้ชุมนุมประท้วงยังโกรธแค้นอย่างมากหลังรัฐบาลปราบผู้ประท้วงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตถึง 19 ราย กองทัพเนปาลออกมาเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวทั่วประเทศแสดงความอดทนอดกลั้น หลังการประท้วงบานปลายกลายเป็นความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 9 กันยายนผ่านมา นายพรีธวี ซุบบา กูรัง โฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ เนปาล เปิดเผยว่า รัฐบาลประเทศเนปาลมีมติยกเลิกคำสั่งห้าม และการปิดกั้นสื่อโซเชียลมีเดียทั่วประเทศเนปาล ในขณะนี้ประชาชนชาวเนเปสามารถใช้สื่อโซเชียลได้ตามปกติ หลังจากเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศคำสั่งปิดกั้นสื่อโซเชียลมีเดียทั่วประเทศ ในขณะที่คำสั่งดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนชาวเนปาล โดยเฉพาะผู้ชุมนุมส่วนใหญ่และมีจำนวนมากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่ในวัยเจนเนอเรชั่นซี (Z) (คนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี)
กลุ่มคนรุ่นวัยเจนซี(Z) ในเนปาลได้ชุมนุมชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวง และเมืองใหญ่ทั่วประเทศเนปาล และเกิดการประทะอย่างรุนแรงเมื่อวานนี้ 8 กันยายน 2025 ส่งผลให้ประชาชนผู้เข้าร่วมประท้วงซึ่งเป็นประชาชนชาวเนปาลในวัยอายุไม่เกิน 25 ปี หรือกลุ่มคนเจนซี (Z) เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเนปาล เปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่าเก้ารายและผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 100 รายจากเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
นายกรัฐมนตรีเนปาล นายเค.พี. ชาร์มา โอลี กล่าวว่า เสียใจกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีการแทรกซึมจากกลุ่มคนต่างๆ ที่เห็นแก่ตัว สำหรับผู้เสียชีวิตครอบครัวผู้เสียชีวิตรวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุชุมนุมประท้วงรุนแรงในครั้งนี้รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยา รวมถึงจะรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนสาเหตุที่แท้จริงในการทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงขั้นรุนแรงจนนำไปสู่ผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากโดยจะใช้เวลาภายใน 15 วัน ผลผลของการสรุปการสืบสวนสอบสวนในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ซ้ำสองในอนาคต
ด้านผู้จัดการชุมนุมประท้วง ซึ่งเรียกการชุมนุมประท้วงในครั้งนี้ว่า การชุมนุมประท้วงโดยคนรุ่นใหม่เจนซี(Z) เปิดเผยว่าการประท้วงของประชาชนชาว Nepal ที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นวงกว้างในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความไม่พอใจอย่างมาก ที่มองว่ารัฐบาลปัจจุบันขาดมาตรการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นในประเทศ และขาดมาตรการในการกระตุ้นโอกาสทางเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 กันยายนผ่านมา รัฐบาลเนปาลประกาศปิดกั้นสื่อโซเชียลมีเดียชื่อดัง ได้แก่ Facebook, Instagram, WhatsApp, YouTube, X, Snapchat, Pinterest รวมถึง Tencent ของจีน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ของรัฐบาลที่บังคับให้ต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ิมาตรการปิดกั้นดังกล่าวมีขึ้นเพื่อจัดการกับการสร้างบัญชีปลอม การเผยแพร่ข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง และการฉ้อโกงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยยืนยันว่าบริการจะกลับมาได้หากบริษัทต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่วัยเจนซี (Z) ในเนปาล กลับมองว่าการกระทำของรัฐบาลเป็นการปิดกั้นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะในสังคมที่ประชาชนใช้สื่อโซเชียลเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร แสดงออก และติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง ร้อยละ 90 จากทั้งหมด 30 ล้านคน
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป บราซิล และออสเตรเลีย ต่างเริ่มออกมาตรการควบคุมโซเชียลมีเดียและบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มากขึ้น โดยอ้างเหตุผลด้านการควบคุมข่าวปลอม ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัยทางออนไลน์ และความมั่นคงของประเทศ