นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า จู่ ๆ ก็มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทย แล้วธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานเศรษฐกิจที่ช่วยกันดูนั้น บอกไม่ได้ว่าเป็นเงินมาจากไหน แล้วเข้ามามากจริง ๆ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส ซึ่งไม่รู้ที่มา ไม่ได้อยู่ในบัญชีอะไรเลย ซึ่งเข้ามาตั้งแต่ช่วงปลายโควิด-19 เงินจำนวนนี้เมื่อไปเทียบกับการส่งออกทองนั้นในส่วนนี้มีผลมากกว่า
ไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องซึ่งประเทศไทยมีปัญหานี้จริงๆ 3 ปีที่ผ่านมา ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวที่มีความต้องการซื้อเงินบาทมากกว่าการที่ต้องการขายเงินบาทมาโดยตลอด
ในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของดุลบัญชีเดินสะพัดมีปัญหาเรื่องของ error and omission คือ เมื่อเอาบัญชีดุลสะพัดมากางนั้นจะเห็นว่าเมื่อการส่งออก และนำเข้า เมื่อมีการบวกลบรายการต่างๆ นั้นไม่ตรงกัน ซึ่งเรียกว่ามีส่วนของการคลาดเคลื่อน และการตกหล่น โดย error and omission นั้น มีการเพิ่มขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ต้องไปตรวจสอบดูว่าเงินส่วนนี้มีที่มาอย่างไร มากกว่ากำหนดการเก็บภาษีการซื้อขายทองคำออนไลน์ เนื่องจากจำนวนตัวเลขที่ผิดปกติมาก ซึ่งเงินจำนวนนี้ทำให้ค่าเงินบาทแข็งมากขึ้น และแข็งค่าเร็วมาก
การจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดยไปทำในเรื่องของการค้าทองคำจึงไม่ค่อยตอบโจทย์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เรื่องของการทำให้การค้าทองชะงักลงไปบ้าง แต่กลายเป็นว่าการไปลงโทษคนที่เขาค้าขายทองโดยปกติมากกว่า สภาพคล่องในการค้าทองจะหายไปเลย กลายเป็นว่ามีการเข้าไปแทรกแซงทำให้กระทบทั้งคนซื้อ และคนขาย ทำให้มีต้นทุนเพิ่ม ทำให้ผู้ค้าทองคำออกมาโวยวายได้
ทองคำเป็นตัวยึดโยงกับมูลค่าของเงิน เวลาที่ตลาดเริ่มมองเห็นว่าธนาคารกลางหลักๆ ของประเทศต่างๆ ไม่มีวินัยทางการเงินนั้น ราคาทองคำจะปรับขึ้น ดังนั้นเมื่อนโยบายของทรัมป์ นโยบายของอียู และนโยบายการเงินของญี่ปุ่น มีนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินมาก อาจมีการพิมพ์เงินออกมามากขึ้น ราคาทองจึงปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 40% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักของโลก ซึ่งไม่ได้สะท้อนว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดี แต่สะท้อนว่านโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไปทั่วโลก สะท้อนว่าตลาดกำลังมองว่าธนาคารหลักของโลกไม่มีวินัยทางการเงินมากกว่า