สำนักข่าวรอยเตอร์ส ซึ่งเป็นสำนักข่าวชื่อดังระดับโลกของสหรัฐอเมริกา รายงานประเด็นภาวะเศรษฐกิจไทยเชิงวิเคราะห์เล่าเรื่องว่าสัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทยกำลังถูกสะท้อนผ่านสถานการณ์โรงงานในประเทศไทยปิดตัวอย่างรวดเร็วขึ้นเกือบ 2,000 แห่ง ด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นอย่างน้อยมาก และยังรั้งท้ายในประเทศชั้นนำของอาเซียน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าเป้าหมาย 5%
รอยเตอร์ส เปิดการสัมภาษณ์กับพนักงานโรงงาน ชื่อว่า นางจันทร์เพ็ญ ซื่อตรง วัย 54 ปี ทำงานอยู่ที่โรงงานกระจกนิรภัย V.M.C. ในจังหวัดสมุทรปราการ เธอทำงานเป็นพนักงานมาเกือบ 20 ปี มีหน้าที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ออกจากสายการผลิต ในเดือนเมษายนผ่านมา จันทร์เพ็ญ ซื่อตรง ได้รับแจ้งอย่างไม่คาดคิดว่าโรงงานที่เธอทำงานด้วยนั้น จะปิดตัวลง และทำให้เธอตกงาน
นางจันทร์เพ็ญ หัวหน้าครอบครัวคนเดียวของบ้านที่มีสมาชิก 3 คน ซึ่งรวมถึงสามีที่ป่วยและลูกสาวที่ยังวัยรุ่น กล่าวว่า ฉันไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทเดียว แต่กลับมีหนี้เป็นแสน ฉันแก่แล้ว ฉันจะไปทำงานที่ไหน ใครจะรับฉันเข้าทำงาน
ด้านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มองว่า ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง และกำลังการผลิตก็ลดลงต่ำกว่า 60% เห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัว สำนักข่าวรอยเตอร์ส มองว่า ปัญหาในภาคการผลิตดังกล่าว ที่ส่งผลให้โรงงานในไทยปิดตัวหลายแห่ง ทำให้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เผชิญความท้าทายในการสร้างการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีให้ถึง 5% ตลอดระยะเวลา 4 ปีของเขา
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า รูปแบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการผลิตของไทยที่มีมานานหลายทศวรรษนั้นพังทลายแล้ว โดยตอนนี้จีนกำลังส่งออกสินค้าไปทั้งทางซ้าย ทั้งทางขวา ทั้งตรงกลาง หรือพูดง่ายๆ คือ จีนส่งออกสินค้าไปทั่วทุกสารทิศ ที่สำคัญ สินค้าเหล่านี้มีราคาถูก จนสร้างปัญหาให้กับภาคการผลิตของไทย ไทยต้องเปลี่ยนแปลง โดยควรหันไปมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่จีนไม่ได้ส่งออก ขณะเดียวกันก็ต้องเสริมสร้างภาคการเกษตรกรรมของไทยอย่างไม่มีข้อยกเว้น
แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME กล่าวว่า ผู้ผลิตขนาดเล็กกำลังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และค่าแรงที่ค่อนข้างสูง ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติ ผู้ผลิตที่ปรับตัวไม่ทัน ต้องปิดกิจการหรือเปลี่ยนไปผลิตอย่างอื่นแทน
นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวแย้งว่าโครงการแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทที่เป็นที่ถกเถียง และล่าช้านั้น เป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย รวมถึงจากธนาคารกลางด้วยก็ตาม นี่จะเป็นยาแรงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่ นางจันทร์เพ็ญ ซึ่งไม่มีรายได้ประจำ กล่าวว่า “รอรับเงินแจก 10,000 บาท ซึ่งคนไทย 50 ล้านคนจะได้รับตามโครงการ” อีกทั้งเธอเสริมว่า “เศรษฐกิจไทยแย่ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน พอมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย”