ผลสำรวจ ม.หอค้า เผยลอยกระทง 68 เงินสะพัด 9.6 พันล้านบาท หดตัว 6.5 % ติดลบครั้งแรกในรอบ 4 ปี ต่ำสุดใน 10 ปี คนมองราคาสินค้าแพง เป็นช่วงไว้ทุกข์ และต้องประหยัด

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรม และการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทงปี 2568  พบว่า 63.8% มีการวางแผนการใช้จ่าย และ36.2% ไม่ได้วางแผน โดยคนส่วนใหญ่ใช้จ่ายเป็นเงินสด รองลงมาคือ Mobile Banking , บัตรเครดิต และ e-Wallet เป็นต้น โดยกิจกรรมการที่คนส่วนใหญ่จะทำในเทศกาลลอยกระทงคือ ไปลอยกระทง ทานอาหารนอกบ้าน เที่ยวชมสถานที่จัดงาน ไปซื้้อของ ไปทำบุญ  และเที่ยวต่างจังหวัด เป็นต้น

ส่วนการใช้จ่ายในเทศกาลลอยกระทงปีนี้เทียกับปีก่อน พบว่าคนส่วนใหญ่ 49.2% ใช้จ่ายเท่าเดิม ,27.9% ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และ 21.8 %ใช้ลดลง โดยคนที่ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพราะสินค้าราคาแพงขึ้น ได้รับเงินโครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการ และเพื่อน้อมส่งเสด็จ  ขณะที่คนที่ใช้จ่ายน้อยลง เพราะ เป็นช่วงไว้ทุกข์ โศกเศร้า, ราคาสินค้าแพงขึ้น และ ต้องการประหยัด เป็นต้น

ขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ 61.6% มองว่าลอยกระทบปีนี้คึกคักน้อยกว่าปีก่อน ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 2,212 บาท ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 2,449บาท คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบ ประมาณ  9,677 ล้านบาท ลดลง 6.5 % จากปีก่อนที่มูลค่า 10,355 ล้านบาท ถือว่าเป็นการขยายตัวติดลบครั้งแรกในรอบ 4 ปี ขณะที่ตัวเลขมูลค่าการใช้จ่ายปีนี้ยังต่ำสุดในรอบ 10 ปี ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลอยกระทงปีนี้เงินจะสะพัดลดลง แต่ภาพรวมคนไทยยังมีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมลอยกระทงในบรรยากาศที่เหมาะสม ในรูปแบบความรื่นเริงที่ลดลงทำให้การใช้จ่ายเป็นไปตามกรอบที่เหมาะสม และส่วนใหญ่จะมีการนำเงินจากโครงการคนละครึ่งพลัสและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปใช้จ่ายช่วงลอยกระทง โดยมองว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 

ส่วนวันแรกของการใช้จ่ายคนละครึ่งพลัส พบว่ามีประชาชนใช้สิทธิ 3 ล้านคน  ใช้จ่ายรวมประมาณ  750 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นยอดการใช้จ่ายที่น้อยมาก เฉลี่ยวันละ 250 บาท/คนเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น ยังไม่สามารถจูงใจให้คนใช้จ่ายมากกว่าปกติเพื่อเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัญหาร้านค้าเข้าร่วมโครงการน้อย ล่าสุดพบว่ามีเพียง 6 แสนราย คิดเป็นเพียง 20% จากจำนวนเอสเอ็มอีทั้งประเทศที่มีกว่า 3 ล้านราย ดังนั้นรัฐบาลควรเปิดลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมให้มากขึ้น เพื่อให้โครงการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง และช่วยประครองจีดีพีปีนี้ให้เติบโตได้ ในอัตราราว 2%

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles