นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกระแสข่าวกรณีชาวต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดิน และประกอบธุรกิจบนแหล่งท่องเที่ยวเกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า กรมได้ให้ความสำคัญกับการเข้าไปตรวจสอบและเอาผิดนิติบุคคลบางรายที่หลีกเลี่ยงหรือประกอบธุรกิจโดยฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึงกรณีที่บุคคลต่างด้าวจดทะเบียนนิติบุคคลโดยอาศัยคนไทยเป็นตัวแทนอำพรางหรือนอมินี (Nominee)อย่างต่อเนื่อง โดยเร่งตรวจสอบทั่วประเทศไม่เฉพาะแค่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยในส่วนของจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ในเกาะสมุย และพะงัน มีชาวต่างชาติทั้งชาวยุโรป และประเทศอื่นๆ เข้ามาทำธุรกิจจำนวนมาก มีทั้งรายใหญ่ รายกลางและรายเล็กที่มีการใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ โดยได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบเชิงลึกธุรกิจนอมมินีในสุราษฎร์ธานี เบื้องต้นพบว่ามีธุรกิจที่มีความเสี่ยงเข้าข่ายนอมมินีที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบกว่า 7,000 ราย ส่วนใหญ่ทำธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ อาทิ คอนโดมิเนียม ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร
ทั้งนี้ เพื่อให้การตรวจสอบนอมินีมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้สั่งให้กรมปรับแผนการตรวจสอบนอมินีใหม่ทั้งหมด โดยเน้นตรวจสอบแบบพุ่งเป้าและเชิงลึกมากขึ้น โดยเพิ่มเงื่อนไขในการตรวจสอบในละเอียดและตรงเป้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้จำนวนนิติบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงปรับลดลงเหลือ เพียงหลักพันราย จากปัจจุบันที่มีการปูพรมต้องเข้าไปตรวจสอบมากถึง 46,918 ราย ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่าจะแล้วเสร็จ อีกทั้งยังได้ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายขึ้น 1 ชุด ภายใต้คณะอนุกรรมการ 4 ชุด คือ อนุกรรมการชุดป้องกันการจดทะเบียนที่ไม่ถูกต้อง 2.อนุกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลแบบพุ่งเป้า เพื่อคัดกรองนิติบุคคลที่เข้าข่ายเสี่ยงให้ตรงเป้ามากที่สุด 3.อนุกรรมการชุดตรวจสอบบัญชีและ 4.อนุกรรมการด้านกฎหมายโดยจะเร่งพิจารณาให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายทั้ง10 ฉบับให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวชุดใหม่เพื่อให้การทำงานมีความต่อเนื่อง โดยขอให้มีการปรับเปลี่ยนประธานคณะทำงานเป็นรองนากยรัฐมนตรี แทนรมว.พาณิชย์ เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารจัดการครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งขอให้เพิ่ม 4 หน่วยงานเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หลังจากการปรับเปลี่ยนรัฐบาลทำให้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกำกับดูแลเรื่องของการปราบรามนอมมินี และสินค้าผิดกฎหมายจากต่างประเทศสิ้นสุดลงไปด้วย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง