นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าเศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวให้ได้ 5% ในปี 2569 นั้น ต้องดูการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยมั่นใจว่าหากรัฐบาลทำได้ตามแผนขับเคลื่อนที่วางเอาไว้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% และเมื่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3% ในปีนี้ จะเป็นแรงส่ง (โมเมนตัม) ให้เศรษฐกิจไทยในปีต่อไปโต 4-5% ได้
ในฐานะกระทรวงการคลัง ยุทธศาสตร์ที่วางไว้คือการเป็นคู่คิดและหุ้นส่วนของภาคธุรกิจเพื่อเดินหน้าสู่อนาคตด้วยกัน โดยการทบทวนระบบภาษีใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างมาตรการที่จูงใจและเป็นมาตรการเชิงรุก รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และดึงดูดการลงทุนใหม่
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังพร้อมเดินหน้ามาตรการด้านการเงินในการสนับสนุนเงินทุน ผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เริ่มกลไกการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านโครางการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ให้พักดอกเบี้ย 3 ปี หมดเขตให้ลงทะเบียน 28 ก.พ. 2568 โดยคาดว่าจะมีวงเงินเข้ามา 1 ล้านล้านบาท
สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลมีงบประมาณจำกัด เล็งใช้กลไกการลงทุนด้วยการใช้เงินนอกงบประมาณ ผ่านการระดมทุนในกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และมุ่งรักษาวินัยการเงินการคลัง การใช้เงินและการหารายได้จะต้องสอดคล้องกันและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ รวมทั้งรักษาระดับการขาดดุลงบประมาณและลดลงได้
