นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประกาศมาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2568 อย่างไรก็ตาม รูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปต่อเนื่อง ทำให้ความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงินแม้มีแนวโน้มลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง ในครั้งนี้ ธปท. จึงร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยในการยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับสถิติภัยการเงินจากแอปฯ ดูดเงินลดลงจาก 7,444 กรณีในปี 2566 จนปัจจุบันเหลือ 0 กรณีแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าระวังตลอดเพื่อป้องกันไม่ให้มีความเสียหายขึ้นอีก นอกจากนี้ธปท.เดินหน้ากวาดล้างบัญชีม้าต่อเนื่อง ณ ก.ค. 2568 มีบัญชีม้าถูกระงับไป 2.8 ล้านบัญชี รายชื่อม้า 1.97 รายชื่อ
สถิติการถูกหลอกนั้น พบหลอกให้ลงทุนมีความเสียหายมากที่สุด รองลงมาคือ หลอกโอนเงินรับรางวัล หลอกให้โอนเพื่อหารายได้พิเศษ และหลอกให้กลัวข่มขู่ทางโทรศัพท์ ในเดือนมิถุนายน 2568 พบว่ามีจำนวนเคสความเสียหายจากภัยการเงินทั้งหมด 24,500 กรณี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท ความเสียหายต่อราย 114,000 บาท พบยอดโอนสูงสุดต่อรายการอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท
นอกจากนี้ เด็กและผู้สูงอายุมักเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ โดยกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปพบเสียหายต่อเคสมากสุดที่ 416,453 บาท ส่วนกลุ่มเด็กต่ำว่า 15 ปีมีความเสียหาย 78,468 บาท
ทั้งนี้ มิจฉาชีพโอนเงินได้ครั้งละจำนวนมาก ทำให้ถ่ายโอนเงินได้รวดเร็วกักเงินให้เหยื่อได้ยาก ธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาทหรือประมาณ 22% ของจำนวนธุรกรรมทั้งหมดและคิดเป็นประมาณ 76% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด และภายใน 3 นาที เงินโอนออก 50% ของมูลค่าความเสียหาย แต่กว่าเหยื่อจะรู้ตัวและแจ้งข้อมูลเข้าระบบจะช้ากว่า หรือภายใน 19-25 ชม