นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ช่วงนี้ยังไม่ได้พูดถึงประเทศอื่น ๆ ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศในอาเซียน หรือประเทศไทย ดังนั้น ไทยยังมีเวลาที่จะไปทำความเข้าใจและไปพูดคุยและให้ข้อมูลกับสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ได้มีการประเมินกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีกับเม็กซิโก แคนาดา 25% และจีน 20% และการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย คือการที่ไทยส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์ ไปยังตลาดสหรัฐฯ 40,000-50,000 ล้านบาท/ปี
ดังนั้น ไทยน่าจะได้รับผลกระทบทางตรงในเชิงลบจากส่วนนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ผลกระทบทางอ้อมที่เป็นห่วงโซ่อุปทานที่มีการส่งออกไปมาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เม็กซิโก และแคนาดา คาดว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท ดังนั้น ผลกระทบที่จะมีการขึ้นกำแพงภาษีในวันที่ 4 มี.ค. 68 น่าจะมีผลกระทบโดยรวม 20,000-25,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.1-0.15% ซึ่งทำให้กรณีที่มองไว้ว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะโตที่ 3% อาจย่อลงทำให้โตไม่ถึง 3% ได้
อย่างไรก็ดี หากมีการขึ้นกำแพงภาษีรถยนต์ด้วย จะส่งผลกระทบมากขึ้น เพราะตลาดรถยนต์ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านบาท และเป็นตลาดสำคัญที่จีน เม็กซิโก และแคนาดา ส่งไปสหรัฐฯ โดยผลกระทบทางตรงที่จะเกิดกับไทยจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบทางอ้อมที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน ที่มีการส่งออกกลับไปมาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เม็กซิโก และแคนาดา คาดว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วย ผลกระทบโดยรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60,000-65,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.3-0.5% ทำให้เศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ประมาณ 2.6-2.8%
ทั้งนี้หากมีการขึ้นกำแพงภาษีทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยโดน 10% ตามที่ทรัมป์หาเสียงไว้ จากการประเมินขั้นต่ำเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยถึง 100,000-150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.5-0.7% ทำให้เศรษฐกิจไทยโตในกรอบประมาณ 2.3-2.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งผลกระทบที่คาดการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไทยสามารถป้องกันเพื่อลดแรงกดดันจากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นได้
ตอนนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า การปล่อยสินเชื่อยังไม่โดดเด่น NPL ยังน่ากังวล จึงทำให้แม้การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจยังไม่เพียงพอในการประคองเศรษฐกิจไทย ดังนั้น เห็นด้วยกับการตั้ง Special Team เพราะเหมือนเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องมาประสานงานและทำงานร่วมกัน ตระหนักร่วมกัน การรีบจัดตั้งทีมจะทำให้เห็นข้อมูลมากขึ้น ดีกว่าไม่ทำอะไร