วอลโว่ คาร์ส แบรนด์รถยนต์ชื่อดังระดับโลกจากประเทศสวีเดน แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นเจ้าของแท้จริงคือ จีลี่ (Geely) ค่ายรถยนต์สัญชาติจีนแผ่นดินใหญ่ เปิดเผยว่า ได้ยกเลิกนโยบายและแผนการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทุกรุ่นภายในปี 2023 ตามที่เคยประกาศเจตนารมย์ไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ จะปรับเปลี่ยนนโยบายด้วยการผลิตรถยนต์วอลโว่ด้วยเครื่องยนต์ระบบปลั๊กอิน-ไฮบริด (Plugin-hybrid) ทดแทน
สาเหตุจากตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีชะลอตัวอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าอย่างมากในการขยายสถานี หรือจุดชาร์จไฟฟ้าของรถอีวีโดยเฉพาะในตลาดยุโรป และอเมริกาเหนือ กลุ่มสหภาพยุโรปประกาศมาตรการขึ้นภาษีเพิ่มเติมกับรถอีวีนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะมีเป้าหมายในการปิดกั้นรถอีวีผลิตจากจีน นอกจากนี้ รุ่นของรถอีวีที่สามารถตอบโจทย์ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงในด้านราคาได้ดีกว่านี้กลับมีน้อยลง
วอลโว่ คาร์ส ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการผลิตและทำตลาดรถยนต์ภายในปี 2023 ว่า วอลโว่ คาร์ กำหนดการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี หรือรถยนต์เครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด เป็นสัดส่วน 90% – 100% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ ได้กำหนดการขายรถยนต์วอลโว่ด้วยเครื่องยนต์ประเภท Mild Hybrid หรือเครื่องยนต์ประเภทมีมอเตอร์ไฟฟ้าไว้สนับสนุนการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปเท่านั้น ซึ่งขยับเป้าเพิ่มเป็น 10% ภายในปี 2030
วอลโว่ คาร์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด เป็นกลยุทธ์สำคัญแท้จริงสำหรับการเติบโตในอนาคตด้วยผลกำไร ดังนั้น วอลโว่ คาร์ จะปรับเปลี่ยนรถยนต์รุ่น XC90 ซึ่งเป็นรถประเภทเอสยูสี ให้เป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด ภายในสิ้นปีนี้
ภายในปี 2025 หรือปีหน้า วอลโว่ คาร์ คาดหวังว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ รถอีวี และรถปลั๊กอิน-ไฮบริด จะมีสัดส่วนที่ 50% และ 60% ของยอดขายโดยรวมตามลำดับ ในขณะที่ ก่อนหน้าปี 2025 สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่อย่างน้อย 50% เป็นรถอีวี และที่เหลือเป็นรถปลั๊กอิน-ไฮบริด
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธุ์ 2024 ผ่านมา ซีอีโอวอลโว่ประกาศด้วยความมั่นใจว่าตลาดรถไฟฟ้า หรือรถอีวีจะเติบโตอย่างมากในอีก 6 ปี หรือภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม วอลโว่ คาร์ ได้ขายทิ้งหุ้นเกือบ 50% ในรถอีวีแบรนด์หรูโพลสตาร์คืนกลับค่ายรถแบรนด์จีนจีลี่ สาเหตุตากมีผลขาดทุนสูง
นายจิม โรวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ วอลโว่ คาร์ส กล่าวเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ปีนี้ว่า วอลโว่มีความมั่นใจในการเติบโตอย่างมากมายของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี ซึ่งยังคงรักษาเป้าหมายยอดขายรถอีวีเป็นครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดของวอลโว่ที่ขายทั่วโลกภายในกลางทศวรรษนี้ และภายในปี 2030 จะเป็นปีที่วอลโว่ขายรถอีวีเท่านั้น ไม่มีรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปต่อไป
ยอดขายเดือนมกราคมผ่านไป พบว่า วอลโว่ คาร์ส มียอดขายเป็น 53,402 คัน เพิ่มขึ้น +10% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา สาเหตุจากยอดขายรถอีวีของวอลโว่เพิ่มขึ้น +40% ในตลาดยุโรปเป็นหลักในเดือนดังกล่าว นอกจากนี้ ยอดขายเฉพาะรถอีวีเพิ่มขึ้น +17% ส่งผลคิดเป็น 17% ของยอดขายทั้งหมดในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถอีวีของวอลโว่ในตลาดรถยนต์จีนแผ่นดินใหญ่ และสหรัฐอเมริกากลับลดลง
สาเหตุจากวอลโว่จับตลาดรถอีวีในกลุ่มตลาดพรีเมี่ยมมากกว่าที่จะผลิตรถอีวีมาทำตลาดล่างทั่วไปที่การแข่งขันเป็นไปอย่างรุนแรง ดังนั้น วอลโว่มั่นใจในพลังกลยุทธ์ราคาที่เป็นกลยุทธ์สำคัญ และคาดการณ์ว่าลูกค้าจะมีรายได้มากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าสนใจและซื้อรถอีวีของวอลโว่ ถ้าหากต้องการจะขับรถอีวี โดยเฉพาะตลาดรถอีวีในยุโรป
อย่างไรก็ตาม วอลโว่ คาร์ส ตัดสินใจขายหุ้นที่ถือไว้ทั้งหมดมีจำนวนมากถึง 48% ในบริษัทผลิตรถอีวียี่ห้อโพลสตาร์ (Polestar) คืนให้กับจีลี่ ซึ่งบริษัทรถยนต์สัญชาติจีนแผ่นดินใหญ่ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในแบรนด์รถอีวีโพลสตาร์ สาเหตุจากการลงทุนของวอลโว่ คาร์ส ในรถอีวีแบรนด์โพลสตาร์ไม่คุ้มค่าการสร้างแบรนด์รถอีวีระดับหรูหราครั้งแรกด้วยการแตกแบรนด์ออกมาดังกล่าว นอกจากนี้ เผชิญปัญหาการผลิตและส่งมอบมาตลอดในปี 2023 ที่สำคัญ โพลสตาร์ยังไม่สามารถสร้างผลประกอบการในแง่มีกำไรได้เลย คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนสูงอีก 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรืออีกกว่า 46,800 ล้านบาท เพื่อจะทำให้ธุรกิจของรถอีวีแบรนด์โพลสตาร์ถึงแค่จุดคุ้มทุน ราคาหุ้นของบริษัทผลิตรถอีวีแบรนด์โพลสตาร์ดำดิ่งถึง -87% นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2022 เป็นต้นมา