น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า จากต้นปีถึงปัจจุบัน (1 ต.ค.68) ราคาทองคำโลกปรับขึ้นมาแล้ว 47% ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศ ปรับขึ้นมาแล้ว 39.6% ซึ่งในปีนี้ราคาทองคำได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ร้อนแรงอย่างมาก จนทำให้เริ่มมีความกังวลว่าทองคำจะเข้าใกล้ภาวะฟองสบู่หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาจากทั้งปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคแล้ว จะพบว่าราคาทองคำยังไม่เข้าภาวะฟองสบู่ และยังมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นไปต่อ ทั้งจากแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว แม้ว่าระยะสั้นราคาทองคำปรับตัวขึ้นจนเข้าสู่สภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) จึงต้องระวังแรงขายทำกำไร และแรงขายทางเทคนิคที่จะสลับออกมา
โดยมองว่าตราบใดที่ราคายังยืน 3,409 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ได้ หรือ 52,000-51,000 บาท/บาททองคำ ยังคงประเมินว่าเป็น “พักเพื่อขึ้นต่อ” ประเมินแนวรับแรกไว้ที่ 3,740-3,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ หรือ 57,600-55,400 บาท/บาททองคำ จะเป็นจุดพักที่อาจใช้เป็นแนวเข้าซื้อเพิ่มเติม หลังจากราคาทะลุแนวต้านบริเวณ 3,850 YLG ประเมินเป้าหมายถัดไปของปีนี้ ที่ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 61,600 บาท/บาททองคำ
ขณะเดียวกัน ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกหลัก 4 ปัจจัย ได้แก่
1. กระแสความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถูกจับตามากขึ้น เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้วิพากวิจารณ์การทำงานของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากความเป็นอิสระของเฟดถูกกัดกร่อน จะบั่นทอนสถานะของดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินสำรอง และลดความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนทองคำ
2. แนวโน้มเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่งในเดือน ส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดอกเบี้ยขาลง
3. แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก YLG มองว่า กระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) เป็นส่วนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเร่งตัวของแรงซื้อทองคำในหมู่ธนาคารกลางทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง นับจากปี 2565-2567 ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตัน/ปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2553-2564 ที่ 478 ตันกว่า 2 เท่า โดยเฉพาะจีนที่ซื้อทองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมากขึ้น
ล่าสุด ธนาคารกลางจีน (PBOC) เพิ่มการถือครองทองคำในเดือน ส.ค.เป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน โดย PBOC ถือครองทองเพิ่มขึ้น 60,000 ออนซ์ หรือ 1.87 ตัน สู่ระดับ 74.02 ล้านทรอยออนซ์ หรือ 2,302.47 ตันในเดือนที่แล้ว ทำให้สัดส่วนทองคำของจีนในเงินทุนสำรอง เพิ่มจาก 3.8% เป็นเกือบ 7%
4. กระแสเงินทุนไหลเข้าจากกองทุน ETF ทองคำ หลังจากเกิดกระแสเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกันในปี 2566-2567 แต่ปีนี้หนึ่งในผู้ซื้อหลักที่กลับมา คือ กองทุน ETF ทองคำทั่วโลก และเป็นอีกปัจจัยที่กลับมาหนุนทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 26 ก.ย.68 กองทุน ETF ทอง “ทั่วโลก” ยังคงถือครองทองคำเพิ่มรวม 587.8 ตัน สู่ระดับ 3,7806.6 ตัน
นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนชั่วคราว จนทำให้ทองคำเกิด All Time High จากการปิดทำการชั่วคราวของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ซึ่งถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และโดยทั่วไปก็มักจะกินเวลาไม่นาน สำหรับทุก ๆ สัปดาห์ที่เกิดการ shutdown จะทำให้อัตราการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงลดลงราว -0.15% แต่จะมีผลบวกในขนาดเท่ากันกลับคืนมาในไตรมาสถัดไป และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการจ้างงานเดือนตุลาคม ที่อาจจะขยับขึ้น 0.1-0.2% หากการ shutdown ยืดเยื้อเกินวันที่ 18 ต.ค.
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำในช่วงนี้ YLG แนะนำลงทุนผ่านตลาดฟิวเจอร์ส เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในระดับสูง เพราะใช้เงินลงทุนเพียง 10% ของราคาทองคำ และสามารถทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด