นิกเคอิ เอเชีย สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกจากญี่ปุ่น เปิดเผยว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่แตกในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ และส่งผลลุกลามเรื้อรังต่อเนื่องระยะยาว ทำให้ต้องใช้เวลามากกว่า 5 ปีขึ้นไปที่จะขายสต็อกที่อยู่อาศัยทั่วทั้งประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ สาเหตุจากความต้องการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยตกต่ำต่อเนื่อง จำนวนประชากรจีนลดลงมากเป็นประวัติการณ์ถึง 2 ปีติดต่อกัน ค่าครองชีพของชาวจีนที่สูงขึ้น หนี้ครัวเรือนชาวจีนที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญ วงการอสังหาริมทรัพย์ในจีนประเมินว่า วัสดุก่อสร้างบ้านที่มีราคาถูกตกต่ำลงในขณะนี้จะถูกส่งออกไปต่างประเทศเพื่อระบายสต็อกวัสดุก่อสร้างบ้านที่ล้นตลาดในประเทศ
ในขณะที่ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนแผ่นดินใหญ่ทุกแห่งล้วนลดราคาขายที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จมีจำนวนเหลือขายมากมาย คันทรี การ์เด้น โฮลดิ้งส์ ยักษ์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของจีนที่เผชิญวิกฤตขาดสภาพคล่องรุนแรง และผิดนัดชำระหนี้เจ้าหนี้ต่อเนื่อง ได้ประกาศลดราคาขายคอนโดมิเนียมในเมืองหนานจง มณฑลเสฉวน ลงมากถึง 22% สำหรับคอนโดมิเนียมพื้นที่ 110 ตารางเมตรมีราคาเหลือเพียง 620,000 หยวน หรือ 86,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.11 ล้านบาท แต่ยังขายออกไม่ได้
ข้อมูลสิ้นสุดปี 2023 พบว่า ปัจจุบันพื้นที่รวมทั้งหมดของทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้วทั่วประเทศจีนแผ่นดินใหญ่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5,000 ล้านตารางเมตร หากเฉลี่ยพื้นที่ที่อยู่อาศัยที่ 100 ตารางเมตรต่อยูนิต และมีสมาชิก 3 คนในแต่ละยูนิต นั่นหมายถึงจีนมีพื้นที่ที่อยู่อาศัยเหลือมากมายสำหรับประชากรจีน 150 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงจำนวนบ้านราว 50 ล้านยูนิต ในปี 2023 ผ่านไป ปรากฏว่า จำนวนพื้นที่ที่อยู่อาศัยซึ่งสามารถขายได้ทั่วประเทศจีนแผ่นดินใหญ่นั้นมีจำนวน 940 ล้านตารางเมตร ดำดิ่งลงมากถึง -40% จากสถิติที่เคยขายได้รวมกันถึง 1,560 ล้านตารางเมตรในปี 2021
วิกฤตอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ยังต้องเผชิญกับตลาดผู้ซื้อบ้านหลังแรกหดตัวต่อเนื่อง โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศาสตราจารย์เคนเนธ โรก็อฟฟ์ เปิดเผยว่า ในปี 2020 จีนมีประชากรอายุในช่วง 30 ปี จำนวนกว่า 220 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกของตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนนั้น จะลดลงเหลือต่ำกว่า 160 ล้านคนในปี 2035 นอกจากนี้ จำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มต้นก่อสร้างใหม่ตามเมืองสำคัญจะลดลงปีละกว่า 3% ไปจนถึงปี 2035