ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 – 30 ก.ย. 2568 โดยนโยบาย 1 ใน 5 ด้านคือนโยบายเศรษฐกิจซึ่งในระยะสั้นเน้นการกระตุ้นกำลังซื้อ แก้ปัญหาหนี้ ฟื้นภาคการท่องเที่ยว ดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และดูแลผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่ในระยะปานกลางถึงยาวเน้นการรักษาวินัยทางการคลัง ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม (Reinvent Thailand)
นโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Win) ของรัฐบาลคาดว่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพในระยะสั้นและประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
โครงการคนละครึ่งพลัส คาดว่าจะใช้ได้ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสสุดท้ายของปีได้บ้าง โดยในเบื้องต้นหากวงเงินอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท (รวมการให้เงินประชาชนทั่วไปในโครงการคนละครึ่ง 20 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายเพิ่มเติมคิดเป็นราว 0.15% ของ GDP ท่ามกลาง Marginal propensity to consume (MPC) ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณ เงื่อนไขการใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ที่กำหนด ขณะที่แรงหนุนเพิ่มเติมต่อ GDP ในปีนี้อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินดังกล่าวถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว
มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว รัฐบาลอาจพิจารณาออกมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งต้องรอรายละเอียดที่จะออกมา โดยผลต่อเศรษฐกิจคงขึ้นอยู่กับวงเงิน ช่วงเวลา พื้นที่และเงื่อนในการใช้จ่าย โดยการออกมาตรการในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจช่วยหนุนการเข้าร่วมโครงการได้ดีกว่าในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอาจกระทบการพิจารณาเดินทางท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวในประเทศยังเผชิญปัจจัยกดดันจากการการชะลอตัวของเศรษฐกิจและรายได้ รวมถึงแนวโน้มการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยที่ปัจจุบันมีความสะดวกและคุ้มค่ามากขึ้นจากการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยว ขณะที่ การฟื้นความเชื่อมั่นและเพิ่มการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมีความจำเป็น แต่อาจเผชิญความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไป ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) รวมถึงข้อกังวลสถานะการคลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) การดำเนินนโยบายทางการคลังต้องเน้นประสิทธิภาพทั้งฝั่งรายได้และรายจ่าย อีกทั้ง ต้องเข้มงวดกับกรอบวินัยทางการคลังมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation Plan) ที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพิ่มกำลังซื้อในการจับจ่ายใช้สอย
• กระตุ้นการใช้จ่ายโดยจัดทำโครงการคนละครึ่ง
• ลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าโดยสาร
แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง
• แก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบไม่เกินหนึ่งแสนบาท และเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs รายละไม่เกินหนึงล้านบาท
• สร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้
เพิ่มโอกาสในการออมของประชาชนรายย่อย
• ซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก สร้างรายได้จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
• พัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม โดยเงินที่ไม่ถูกรางวัลเป็นเงินออม
ฟื้นภาคการท่องเที่ยว
• กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยเน้นเที่ยวเมืองรอง
• ฟื้นความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยว โดยสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
ส่งเสริมการลงทุน
• สร้างสิ่งแวดล้อมการลงทุนให้ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขัน
• ส่งเสริมให้นักลงทุนจากต่างประเทศให้ร่วมทุนกับบริษัทไทยและสร้างห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ
ดูแลผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ
• จัดตั้งทีมไทยแลนด์เพื่อยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิม และดำเนินการเชิงรุกในการเปิดตลาดใหม่
• ดูแลผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
• แก้ปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนินสินค้าและป้องกันการทุ่มตลาด
ระยะปานกลางถึงยาว
การรักษาวินัยทางการคลัง
• ดำเนินนโยบายการคลังภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังด้านรายได้และรายจ่าย
• กำกับการจ่ายเงินนอกงบประมาณ และลดภาระหนี้สาธารณะในระยะยาว
• เสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (Reinvent Thailand) สร้างความสามารถในการแข่งขัน
• วางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศจากเดิมที่เน้น “ปริมาณ” ไปสู่การสร้าง “มูลค่า” โดยยกระดับภาคเกษตรกรรม
• เพิ่มทักษะแรงงาน (upskill and reskill) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี
• วางรากฐานเพื่อให้เอกชน โดยเฉพาะ SMEs ก้าวทันโลกควบคู่กับการยกระดับโครงสร้างสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย
• พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับการพัฒนาประเทศ
• ผลักดันไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลยังมีความท้าทายจากกรอบเวลาบริหารราชการในระยะสั้นๆ ที่ต้องให้ยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากวันที่ 1 ต.ค. 2568 อีกทั้ง การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจส่งผลต่อการผลักดันนโยบายหลัก และการเบิกจ่ายงบประมาณตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งรัฐบาลและช่วงรัฐบาลรักษาการซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาทั้งสิ้นราว 8 เดือน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบเวลาสั้นๆ รัฐบาลมีอีกเครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจโดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน โดยการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 (เดือนมิ.ย. – ก.ย.) ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดจากช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568 การเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 60% ต่ำกว่าปีงบประมาณ 2567 ซึ่งอยู่ที่ 65% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าปีก่อนจากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 2567 อนุมัติล่าช้า