นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 2/2567 ยังคงชะลอตัวแต่เริ่มติดลบน้อยลง พบสัญญาณการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 86,998 หน่วย ลดลง 4.5% มูลค่า 243,404 ล้านบาท ลดลง 5.7% น่าจะเป็นผลจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ 144,115 ล้านบาท ลดลง10.1% เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่การชะลอตัวของด้านอุปสงค์ติดลบน้อยลงจากไตรมาส 1 ปี 2567
ทั้งนี้พบว่ายอดขายที่อยู่อาศัยได้ใหม่ใน 27 จังหวัดครึ่งแรกของปีนี้ชะลอตัวลงสะท้อนว่ากำลังซื้อของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยยังคงอ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้สินครัวเรือน เมื่อเกิดภาวะธนาคารไม่ปล่อยกู้ ทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่มั่นใจในการซื้อและกู้ ทำให้บางส่วนเปลี่ยนใจชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไป ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุน ก็ชะลอการลงทุน เพราะไม่ต้องการนำเงินส่วนตัวมาลง 20% ของราคาที่อยู่อาศัยตามเกณฑ์ LTV ไม่อยากสร้างหนี้ระยะยาวช่วงนี้ แต่นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีผลตอบแทนดี ทั้งนี้คาดการณ์ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 จะมีการปรับตัวลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานในตลาด
ภาพรวมบ้านแนวราบปรับตัวลดลง 9.9% มีจำนวน 58,567 หน่วย และมูลค่าลดลง 6.4% มีมูลค่า 172,889 ล้านบาท สำหรับระดับราคาที่มีการขยายตัวลดลงน้อยกว่าภาพรวม ได้แก่ ไม่เกิน 2 ล้านบาท ราคา 5-7.5 ล้านบาท และมากกว่า 10 ล้านบาท
ขณะที่ ภาพรวมครึ่งแรกของปี 2567 ชะลอตัวแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมารวมถึงช่วงโควิด โดยครึ่งปีที่ผ่านมามีการโอน 159,952 หน่วย ลดลง 9% มูลค่า 452,136 ล้านบาท ลดลง 9.4% มีจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ 265,644 ล้านบาท ลดลง15.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน ส่วนปริมาณหน่วยโอนบ้านใหม่ลดลง 12.4% บ้านมือสองลดลง 6.9% โดยการโอนบ้านใหม่เป็นราคา 1-1.5 ล้านบาท เพิ่ม 0.5% บ้านมือสองราคา 5-7.5 ล้านบาท เพิ่ม 3.6% เป็นที่น่าสังเกตว่าการโอนบ้านแนวราบลดลง 14.2% ขณะที่อาคารชุดเพิ่มขึ้น 4.4% เป็นการเพิ่มขึ้นของอาคารชุดมือสอง 11.8% ขณะที่อาคารชุดใหม่ลดลง 1.5% ในกลุ่มมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปถึง 33.5% อาคารชุดใหม่มีเพิ่มราคา 2-3 ล้านบาทถึง 15.8% รองลงมาราคา 1.51-2 ล้านบาท 14.2% และราคา 1-1.5 ล้านบาท 4.6%