SCB EIC ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ การเงิน ไทยนั้น ภาพเศรษฐกิจข้างต้นดำเนินคู่ขนานไปกับเครื่องชี้จากภาคการเงิน โดยรายงานของแบงก์ชาติได้ สรุปภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ไว้ว่ามีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง แต่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์หดตัวที่ 2.0% เทียบกับปีก่อน จากการชำระคืนหนี้ของภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก โดยการให้สินเชื่อใหม่มีต่อเนื่องแต่มีแนวโน้มชะลอลงในธุรกิจภาคบริการ อสังหาริมทรัพย์ และพาณิชย์ขนาดใหญ่ และสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่สินเชื่อหดตัวในภาคธุรกิจที่เผชิญกับปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ กลุ่มปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ โดยในด้านยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ต่อสินเชื่อรวม ในไตรมาส 3 ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 2.97%ตัวเลขภาพรวมข้างต้นแสดงสถานะระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีเสถียรภาพ แต่บทบาทในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างจำกัด เห็นได้จากการที่สินเชื่อใหม่หดตัว และแม้จะขยายตัวในบางภาคส่วนก็มีแนวโน้มชะลอลง ซึ่งผลสุทธิของตัวเลขสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP และหนี้สินภาคธุรกิจต่อ GDP ลดลงมาอยู่ที่ 89.6% และ 86.5% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าอยู่ในทิศทางปรับลดลงสอดคล้องกับสัญญาณของตัวเลขสินเชื่อปล่อยใหม่ที่หดตัว และตัวเลข GDP ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
IMF ได้รายงานประมาณการตัวเลขการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2567 ไว้ที่ 2.8% ซึ่งแม้จะสูงกว่าตัวเลขการเติบโตในปี 2562 ที่ 2.1% ก่อนโควิด แต่นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2559-2561ที่ 3.9% และค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2549-2558 ที่ 3.3% อย่างไรก็ดี IMF มองตัวเลขประมาณการ GDP ไทยในปี 2572 ไว้ที่ 2.7% ใกล้เคียงกับตัวเลขประมาณการในปีนี้ ซึ่งหากเรากวาดตาดูคร่าว ๆ แล้ว เสมือนว่าตัวเลข GDP ไทยโดยเฉลี่ยในรอบเกือบ 20 ปีนี้จะอยู่ที่ราว ๆ 3% และจะยังอยู่ระดับนี้ไปในระยะยาว ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในยุโรปและประเทศในแถบลาตินอเมริกา แต่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าโดยตรงของไทย จึงนับว่าสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาวไม่สดใสนักพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ฉายภาพไปข้างต้นเป็นการประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านด้านอุปสงค์ หรือ ค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับด้านอุปทาน หรือ สาขากิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี รากฐานสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตที่เรียกรวม ๆ ได้ว่า “คน ทุน เทค” ซึ่งทิศทางของการใช้ปัจจัยการผลิตเหล่านี้จะสะท้อนแนวโน้มของการเติบโตในระยะยาวของประเทศที่ก้าวข้ามความผันผวนทั้งด้านบวกและลบในห้วงเวลาสั้น ๆ แล้วธุรกิจไทยจะเข้าถึงปัจจัยการผลิตทั้งแรงงาน เงินทุน และเทคโนโลยี โดยบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยให้เต็มศักยภาพได้อย่างไร ?
กลยุทธ์การเงินเพื่อการพัฒนานั้น ดังที่ภาคการเงินในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงประคับประคองรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินควบคู่ไปกับการปรับฐานให้หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจทยอยลดลงหลังเร่งสูงขึ้นรองรับการดำเนินธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด กลยุทธ์ของภาคการเงินในระยะต่อไปจึงควรมุ่งยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทย1. พัฒนาระบบนิเวศทางด้านข้อมูล ต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินและระบบการชำระเงินที่ภาคธนาคารได้ร่วมกันพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยับขยายโครงสร้างพื้นฐานให้สร้างโอกาสด้านข้อมูลจะไม่เพียงทำให้ผู้ให้บริการทางการเงินจะรู้จักผู้ใช้บริการทางการเงิน จนนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ลูกค้า แต่จะช่วยให้ระบบการเงินจัดสรรเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการแก้ไขปัญหาความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ทำให้ ปริมาณ และราคา ของเงินทุนเหมาะสมกับศักยภาพและความเสี่ยงของหน่วยเศรษฐกิจ ซึ่งระบบนิเวศทางด้านข้อมูลที่สมบูรณ์ จะต้องอาศัยข้อมูลที่คมชัดผ่านตัวกลางเครดิต หรือ Credit mediator หลากหลายโดยใช้ข้อมูลทางเลือกนอกภาคการเงิน รวมถึงแลกเปลี่ยนได้ระหว่างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย72. เอื้ออำนวยให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอาศัยความเข้มแข็งของการทำงานร่วมกันในภาคการเงินระหว่างผู้กำกับดูแลและผู้ให้บริการทางการเงินที่สามารถดำเนินการภายใต้กฎระเบียบของการกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด
โดยขยายการมีส่วนร่วมของการทำงานร่วมกันให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการทางการเงินทั้งภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งอาจมีข้อติดขัดในรูปแบบของต้นทุนในการดำเนินธุรกรรมซึ่งเกิดจากการที่ผู้ให้บริการทางการเงินต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ แนวทางดังกล่าวไม่เพียงแต่จะลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจในภาคเศรษฐกิจจริง แต่จะช่วยสร้างแรงดึงดูดต่อเม็ดเงินลงทุนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ3. เสริมแกร่งด้วยเครือข่ายผสานการแข่งขันและความร่วมมือ หรือ Coopetition ผ่านการสร้างโอกาสให้คู่แข่งทางธุรกิจมีแพลตฟอร์มในการร่วมมือด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐาน แล้วจึงแข่งขันกันนำเทคโนโลยีไปใช้ในสินค้าขั้นสุดท้ายที่จะจำหน่ายออกสู่ตลาด ซึ่งภาคการเงินเองสามารถทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างคู่ค้าคู่แข่ง ตลอดจน ผู้ชำนาญการทั้งในภาควิชาการ Think Tank และภาครัฐ ผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุนและกลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อประเมินผลในการดำเนินการอย่างเป็นกลางระหว่างแต่ละภาคส่วน ซึ่งรูปแบบดังกล่าวอาจสามารถต่อยอดขยายไปถึงระดับภูมิภาคเช่นการร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน แต่ยังแข่งขันกันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศใน ASEAN8