นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า กรณีนโยบายภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังไม่ส่งผลต่อแผนการระดมทุนของรัฐบาลไทย และไม่กระทบต่อแผนการช่วยเหลือทั้งทางการเงินและอื่นๆจากสถาบันการเงินต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ธนาคารโลก เวิลด์แบงก์
ชโดยสถานการณ์การขึ้นภาษีตอบโต้นั้น ล่าสุดสหรัฐได้ยืดระยะเวลาออกไปอีกสามเดือนสำหรับเกือบทุกประเทศยกเว้นจีนและประเทศเพื่อนบ้านอเมริกา อาทิ เม็กซิโก แคนาดา ที่มีประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น ผลกระทบของการขึ้นภาษีตามที่ประกาศทั้งหมดจึงยังไม่เกิดจริง มีเพียงแต่ผลกระทบอันเกิดจากการคาดการณ์และความเชื่อมั่นของตลาดที่ลดน้อยลง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่พบ อัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ของพันธบัตรของอเมริกาในรุ่นระยะปานกลางถึงยาวปรับเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องจากนักลงทุนทยอยขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในรุ่นดังกล่าว เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจอเมริกาในระยะยาวที่เกรงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (stagflation) จากนโยบายภาษี จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐมีต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้น และภาคเอกชนสหรัฐย่อมต้องมีต้นทุนในการกู้ยืมที่สูงขึ้นสอดคล้องกันด้วย
สำหรับพันธบัตรรัฐบาลไทยยังได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยืดระยะเวลาในการถูกขึ้นภาษีผลกระทบจึงยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้อีกทั้งการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐในปัจจุบันอ่อนลง จากการคาดการณ์เงินเฟ้ออเมริกาที่อาจจะมากขึ้นอันเป็นผลจากการขึ้นภาษี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ดี สถานการณ์สงครามการค้ามีความผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจึงยังคงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่อาจประเมินผลกระทบในเชิงมูลค่าได้อย่างเต็มที่ในตอนนี้
ส่วนของการระดมเงินทุนของรัฐบาลนั้น คงต้องประเมินถึงต้นทุนการระดมเงินอีกครั้ง ขณะที่แผนการระดมทุน หรือการออก พันธบัตรรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2568 ยังคง ไม่มีการปรับแผนใหม่ ทั้งนี้ ในเร็วๆนี้ สบน.มีแผนจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ในวงเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท