สภาผู้บริโภคได้ติดตามสถานการณ์การใช้สิทธิในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” หลังเปิดใช้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 โดยการใช้งานของผู้บริโภคในช่วงสัปดาห์แรก พบว่าหลายรายยังประสบปัญหาในการใช้สิทธิหลายด้าน ทั้งการตั้งราคาที่ปรับสูงขึ้นกว่าปกติมากที่สุด ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของมาตรการร่วมจ่ายระหว่างรัฐและประชาชน ต่อมา เรื่องความเข้าใจผิดในการเข้าใช้งานในระบบโดยเฉพาะผู้ที่ใช้บริการครั้งแรก รวมถึงข่าวที่ลือที่ไม่ถูกต้องและยังเผชิญความเสี่ยงจากภัยจากมิจฉาชีพ เป็นต้น ดังนั้นผู้บริโภคต้องตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ถูกต้องจากภาครัฐและทำความเข้าใจระบบแอปฯ ของภาครัฐให้ครบถ้วน
สำหรับการรวบรวมข้อมูลจากหลายสื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สภาผู้บริโภค ขอสรุปรายละเอียดของปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มใช้สิทธิมีหลายด้าน ได้แก่
– ปัญหาร้านค้ารับแลกสิทธิเป็นเงินสด หรือหักเปอร์เซ็นต์จากสิทธิผู้ใช้ มีร้านค้าบางแห่งประกาศรับแลกสิทธิคนละครึ่งพลัสเป็นเงินสด โดยหักเปอร์เซ็นต์ส่วนต่างจากยอดสิทธิของผู้ใช้โดยไม่เกิดการซื้อขายสินค้าจริง ซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายฐานฉ้อโกง และมีการจับกุมผู้กระทำผิดแล้วในหลายพื้นที่
– ร้านค้าตั้งราคาสูงขึ้นหรือแสดงราคาสองมาตรฐาน บางร้านค้าใช้โอกาสช่วงเปิดโครงการปรับขึ้นราคาสินค้า เช่น ปิดป้าย “เงินสด 159 บาท คนละครึ่ง 169 บาท” ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคและอาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขโครงการ โดยกรมการค้าภายในยืนยันว่า ร้านค้าที่เปิดรับคนละครึ่งจะต้องคิดราคาเดียวกับลูกค้าที่จ่ายด้วยเงินสด โดยหากพบร้านค้าเอาเปรียบผู้บริโภค ลักษณะดังกล่าว อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย สามารถแจ้งพิกัดร้านได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569
– ความสับสนในการใช้สิทธิและระบบแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สิทธิบางรายพบปัญหาการสแกนจ่ายผิดโหมด ทำให้ต้องจ่ายเต็มจำนวน หรือร้านค้ายังไม่ได้ตั้งค่าคิวอาร์ โค้ด (QR Code) โหมดสำหรับคนละครึ่งพลัสโดยเฉพาะ ส่งผลให้รายการชำระไม่สำเร็จ และผู้บริโภคที่ประสบปัญหาการใช้บริการแอปพลิเคชันครั้งแรก จึงยังไม่เข้าใจระบบการสแกนจ่ายเงิน
– ความเสี่ยงจากมิจฉาชีพและการหลอกลวงข้อมูล มีการพบพฤติกรรมมิจฉาชีพสร้างลิงก์ปลอมหลอกขอข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้สิทธิ หรือส่งข้อความเชิญชวนให้โอนเงินเพื่อแลกสิทธิ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลและทรัพย์สิน
– ความสับสนเรื่องการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ซึ่งผู้บริโภคบางส่วนตั้งข้อสงสัยว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว มีการเรียกเก็บ VAT เพิ่มจากราคาสินค้า และเข้าใจว่าเป็นการขึ้นราคา ล่าสุด ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่าอาจเป็นความเข้าใจผิด และจะมีมาตรการให้หน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม
– ความเข้าใจผิดเรื่องโครงการ คนละครึ่ง พลัส ที่จะถูกตัดสิทธิ์หากใช้จ่ายไม่ถึงวันละ 200 บาท แต่ความจริงรัฐบาลยืนยันว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มจำนวนตามที่ได้รับ และไม่มีการกำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำต่อวัน รวมถึงยอดที่ไม่ได้ใช้ในวันใด สามารถนำมาใช้ต่อในวันถัดไปได้ และกำหนดโครงการจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จึงขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางทางการของรัฐบาลเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีผู้บริโภคบางรายประสบปัญหาทางเทคนิคจากระบบ เช่น ยอดเงินถูกหักแต่รายการไม่สำเร็จ หรือได้รับสิทธิล่าช้า สภาผู้บริโภคแนะนำให้ผู้บริโภคตรวจสอบประวัติธุรกรรมและยอดคงเหลือในแอปฯ เป๋าตัง ทุกครั้ง หากพบความผิดปกติสามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือธนาคารกรุงไทย โทร. 02-111-1111 หรือศูนย์โครงการคนละครึ่งพลัส โทร. 02-111-1122 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับการขยายสิทธิในช่วงถัดไปตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป โครงการคนละครึ่งพลัสจะเปิดให้ใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี 4 ราย ได้แก่ แกร็บฟู้ด (Grab Food), ไลน์แมน (LINE MAN), ช้อปปี้ฟู้ด (Shopee Food) และโรบินฮู้ด (Robinhood) โดยสามารถใช้สิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง ร่วมกับจี-วอลเล็ต (G-Wallet) ได้ตามปกติ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่กำหนดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น การปิดระบบแก้ไขราคาเมนูชั่วคราว และการจัดโปรโมชันพิเศษ เพื่อป้องกันการขึ้นราคาสินค้าเกินจริง
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคขอให้ผู้บริโภคใช้สิทธิอย่างรอบคอบ ตรวจสอบราคาสินค้าและบริการให้ตรงกับป้ายราคาทุกครั้งก่อนชำระเงิน และหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ไม่มีการแสดงราคาอย่างชัดเจน หากพบร้านค้าปรับขึ้นราคา เรียกเก็บเกินสิทธิ หรือเอาเปรียบผู้บริโภค สามารถร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ https://complaint.tcc.or.th
/complaint หรือสายด่วนสภาผู้บริโภค โทร. 1502 รวมถึงแจ้งกรมการค้าภายใน สายด่วน 1569 และสายด่วน สคบ. โทร. 1166
นอกจากนี้ ผู้บริโภคที่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งพลัสได้แล้ว จะต้องใช้สิทธิครั้งแรกกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 11 พ.ย. 2568 ไม่เช่นนั้นภาครัฐจะตัดสิทธิทันที โดยจากการรายงานของกระทรวงการคลัง ระบุข้อมูลวันที่ 4 พ.ย.2568 มีผู้ลงทะเบียนเข้ามาใช้สิทธิคนละครึ่งพลัสแล้ว 18 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 20 ล้านคน และมีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้ได้สำเร็จจำนวน 8.34 แสนราย รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแจ้ง เตือนไม่ให้ผู้บริโภคนำห้ามนำสิทธิ คนละครึ่งพลัสไปแลกเงินสดโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริง ถือเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและเข้าข่ายความผิดฐาน ฉ้อโกงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้ง ผู้กระทำผิดอาจถูกระงับสิทธิ ไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐ และต้องชดใช้คืนเงินให้รัฐ ซึ่งหากพบเห็นพฤติกรรมทุจริต สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับ ร้านค้าที่ฝ่าฝืนอาจถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 หากไม่แสดงป้ายราคาสินค้า มีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท และหากจำหน่ายสินค้าเกินราคา หรือเอาเปรียบผู้บริโภค มีโทษปรับสูงสุด 140,000 บาท หรือจำคุกถึง 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ