สภาผู้ส่งออกฯ จับตาอิหร่านปิดฮอร์มุซ ทำเศรษฐกิจโลกอ่วม ทำราคาพลังงานและสินค้าเกษตรต้นทุนพุ่ง หวั่นลุกลามส่งออก เศรษจกิจไทย 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ปฏิบัติการโจมตีทางทหารครั้งสำคัญต่ออิหร่าน โดยมุ่งเป้าไปที่โรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักและยกระดับความตึงเครียดในตะวันออกกลางสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ โดยสหรัฐฯ ได้ออกมายืนยันความสำเร็จของปฏิบัติการที่ใช้ชื่อรหัสว่า “มิดไนท์ แฮมเมอร์” (Midnight Hammer) โดยระบุว่าเป็นการกระทำเพื่อขจัดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติจากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่อิหร่านได้ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าวอย่างรุนแรง พร้อมทั้งมีมาตรการตอบโต้สำคัญคือรัฐสภาอิหร่านลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz)  ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดในโลก แต่ยังมีขั้นตอนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC) และการรับรองจาก อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด ซึ่งสถานการณ์ยังคงมีความผันผวนว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมรับข้อตกลงหยุดยิงหรือขยายวงของสงครามออกไป

ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลก จากแหล่งน้ำมันดิบสำคัญในภูมิภาคซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซียไปสู่ลูกค้าในภูมิภาคอื่นทั่วโลก โดยในปี 2023 มีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบ ประมาณ 20.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่าหนึ่งใน 1 ใน 5 ของปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลก สัดส่วนของมูลค่าการส่งออกน้ำมันดิบในปี 2023 ซาอุดีอาระเบีย 16.1% (โดยเฉลี่ย 6.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน) อิรัก 8.1% (โดยเฉลี่ย 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5.2% (โดยเฉลี่ย 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน) คูเวต 4.6% (โดยเฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) อิหร่าน 4.5% (โดยเฉลี่ย 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน) โอมาน และ กาตาร์ มีปริมาณการส่งออกประมาณ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก โดยในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย โดยนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เท่ากับ 28% ซาอุดิอาระเบีย 20% กาตาร์ 7% คูเวต 2% ดังนั้น หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน และเนื่องจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบพร้อมกัน  กลายเป็นแรงกดดันในการจัดหาซัพพลายพลังงานโลก ทำให้ ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น และหากไม่สามารถขนส่งมายังประเทศไทยได้ อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบในภาคการผลิตเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่งของไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีการนำเข้าปุ๋ยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคการเกษตรจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% จากมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็น ซาอุดิอาระเบีย 27.71% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3% ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเกษตรของไทยพุ่งสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อทั้งค่าครองชีพของผู้บริโภคในประเทศ และคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในตลาดโลก

อนึ่ง ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ถือเป็นตลาดที่สำคัญต่อประเทศไทย โดยมีสัดส่วนส่งออกของไทย ในปี 2567 เท่ากับ 3.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตัวอย่างสินค้าที่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สินค้ายานยนต์จะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซในวงจำกัดเพราะสามารถขนส่งผ่านท่าเรือเจดดาห์และท่าเรืออื่นในทะเลแดง

ด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เบื้องต้น สรท. ประเมินไว้ว่าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ท่าเรือหลักในอ่าวเปอร์เซีย อาทิ Jabel Ali , Doha, Dammam มีโอกาสที่จะถูกปิด รวมถึงโครงข่ายการให้บริการโดยเรือ Feeder อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และจะกระทบส่งออกไปทุกประเทศในอ่าวเปอร์เซียทั้งหมด โดยข้อมูลจากนักวิเคราะห์ (Linerlytica) ระบุว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบต่อปริมาณตู้คอนเมนเนอร์ที่ราว 3.4% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก หรือคิดเป็น 21 ล้าน TEU จากปริมาณตู้ทั้งหมดจำนวน 33.2 ล้าน TEU ซึ่งหมุนเวียนในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ขณะที่ท่าเรือของอิหร่านเองก็ต้องพึ่งพาเส้นทางดังกล่าวเพื่อขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 2.5 ล้าน TEU เช่นกัน ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นผ่านท่าเรือของ UAE ด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าอิหร่านจะตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซเมื่อใด ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ 1) เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน 1.1) เตรียมพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน / เพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สองทาง 1.2) สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งในระดับครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในระยะยาวได้เช่นกัน 1.3) เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น 2) บริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล 2.1) ผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah Port (Saudi Arabia), Salalah Port (Oman) เป็นต้น และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง ด้วยการทำ Inland Transport โดยตรวจสอบว่าผู้นำเข้าสามารถเดินพิธีการทางศุลกากรเพื่อนำสินค้าจากท่าเรืออื่นนั้นได้หรือไม่ หรือสายเรือ/ผู้ให้บริการมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อวางแผนล่วงหน้ากรณีสถานการณ์เป็นไปในทิศทางลบมากขึ้น 2.2) พิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น 2.3) ผู้ส่งออกต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเวปไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles