สำนักข่าวซินหัว ซึ่งเป็นสำนักข่าวของรัฐบาลกลางประเทศจีน รายงานว่า ประธานาธิบดีจีน นายสีจิ้นผิงได้เรียกร้องให้ประเทศเวียดนามร่วมมือกันกับประเทศจีน เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายผลักดันเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ ให้กว้างขึ้น ให้เป็นการเติบโตร่วมกัน และสร้างสมดุลย์ไปด้วยกัน นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า ตลาดประเทศจีนมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ยินดีต้อนรับเวียดนามเสมอ อยากให้ทั้งสองประเทศร่วมมือกันอย่างล้ำหน้าในด้านโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อทั้ง 2 ประเทศ
การเดินทางเย็นประเทศเวียดนามเป็นเวลาสองวันในครั้งนี้ ปรากฏว่ารัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงลงนามในบันทึกข้อตกลงกับประเทศเวียดนามรวมกัน 45 ฉบับ เช่น โครงการลงทุนเพื่อการเชื่อมต่อทั้ง 2 ประเทศ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ การตรวจสอบระบบศุลกากร การค้าสินค้าเกษตรกรรม การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของทั้ง 2 ประเทศ เป็นต้น ในขณะที่ประเทศเวียดนามบรรลุข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจกับจีน เช่น ด้านความมั่นคง การขอรับความช่วยเหลือด้านเงินกู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน และการบิน เป็นต้น
ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เปิดเผยว่า ความร่วมมือด้านการบินระหว่างประเทศจีน โดยรัฐวิสาหกิจผลิตอากาศยานของจีนที่มีชื่อว่าโคแมค (COMAC) และรัฐบาลประเทศเวียดนาม โดย เฉพาะธุรกิจการบินของภาคเอกชนเวียดนาม มีผลในทิศทางบวกเพิ่มขึ้น หลังจากที่ประธานของโคแมคได้เข้าพบพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายบรรลุบันทึกความเข้าใจ นอกเหนือจากโครงการเช่าซื้อเครื่องบินแบรนด์จีนยี่ห้อโคแมคแล้ว โคแมคจะลงทุนโครงการ ตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงและรักษาเครื่องบินในประเทศเวียดนาม
สื่อในประเทศเวียดนาม รายงานว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนต้องการที่จะให้ประเทศเวียดนามสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ซึ่งผลิตโดยประเทศจีนมียี่ห้อว่าโคแมค (COMAC) ซึ่งยังคงเป็นปัญหาของรัฐบาลจีนในการที่จะจูงใจให้ต่างประเทศซื้อเครื่องบินพาณิชย์ยี่ห้อของจีนและผลิตโดยจีนเป็นครั้งแรกในรุ่น C909
ประธานาธิบดีจีน นายสีจิ้นผิงและคณะ จะออกเดินทางจากประเทศเวียดนามในวันนี้ 15 เมษายนเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน คือประเทศมาเลเซีย โดยจะเดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียในช่วงบ่ายวันนี้เพื่อเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการหารือเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในความร่วมมือ และการเป็นพันธมิตรของจีนกับประเทศมาเลเซีย
ย้อนไปเมื่อวานนี้ 14 เมษายน นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเดินทางตลอด 5 วันในสัปดาห์นี้ เพื่อเยือน 3 ประเทศในอาเซียน ได้แก่เวียดนาม ซึ่งนับเป็นการเยือนประเทศเวียดนามครั้งที่ 2 ในรอบ 18 เดือนผ่านมา กัมพูชา ซึ่งนับเป็นการเยือนประเทศกัมพูชาครั้งแรกในรอบ 9 ปี และมาเลเซีย ซึ่งนับเป็นการเยือนประเทศมาเลเซียครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยไม่มีประเทศไทย
นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้เข้าพบกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และนายกรัฐมนตรีประเทศเวียดนาม พร้อมเปิดเผยว่า รัฐบาลจีนพร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าในโครงการเส้นทางรถไฟสามเส้นทางเชื่อมต่อทางภาคเหนือของเวียดนามเข้าไปยังประเทศจีน สนับสนุนให้ประเทศเวียดนามเพิ่มการส่งออกมากขึ้นเข้าไปในประเทศจีน และพร้อมให้ความร่วมมือในการร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายทุรกรรมนาคมระบบ 5G และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีอื่นๆ ของจีนกับเวียดนาม
ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี ประเทศเวียดนาม เปิดเผยว่าในการเยือนของผู้นำสูงสุดจีนในครั้งนี้ จะมีการลงนามในข้อตกลง ระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลเวียดนามจำนวนมากกว่า 40 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนในหลายกลุ่ม
ก่อนหน้าเพียงวันเดียวที่นายสีจิ้นผิงจะเดินทางถึงกรุงฮานอยในวันนี้ นายนายสีจิ้นผิงได้พิมพ์บทความพิเศษเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ในสื่อของเวียดนามมีชื่อว่า Ngan Dan ซึ่งสรุปใจความได้ว่า สงครามการค้าและสงครามภาษี จะไม่สร้างให้ใครเป็นผู้ชนะ
และลัทธิการปกป้องกีดกันการค้า จะไม่นำไปสู่ทางออกใดๆ ประเทศเวียดนามและประเทศจีนควรจะสร้างความปลอดภัยให้กับระบบการค้าพหุภาคี หรือ Multilateral Trading เครือข่ายห่วงโซ่การผลิตและอุตสาหกรรมโลกที่มีเสถียรภาพ และเปิด รวมถึงสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติ
ในปี 2024 ผ่านไป ประเทศจีนกลายเป็นประเทศการลงทุนต่างชาติที่ขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์และเกาหลีใต้ เป็นที่ทราบกันดีว่าสินค้าที่ประเทศเวียดนามนำเข้านั้น ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน ในขณะที่ตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดของเวียดนามจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อมูลกรมศุลกากรของประเทศเวียดนาม เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้ เวียดนามนำเข้าจากจีนเป็นมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.04 ล้านล้านบาท ในขณะที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่า 31,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.08 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่มีการลงทุนใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในประเทศกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs สูงถึง 49% กับประเทศกัมพูชา ส่งผลทำให้กัมพูชาเป็นประเทศหนึ่งเดียวในอาเซียนที่จะต้องถูกเก็บอัตราภาษีดังกล่าวสูงที่สุด นอกจากนี้ ประเทศจีนยังเป็นประเทศที่มีการลงทุนใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศมาเลเซียด้วย ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs สูงถึง 24% ขณะที่ในปี 2024 ผ่านไปนั้น ประเทศมาเลเซียส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.52 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าประเทศมาเลเซียส่งออกไปยังประเทศจีนที่มีมูล 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.41 ล้านล้านบาท