ส่งออกไทยปี 68 วูบมากสุดถึง 1% เอกชนไทยจ่อเฉือนการลงทุน ลากเศรษฐกิจไทยปี 68 ด้วยจีดีพีลดลงถึง 0.5% รับแรงกระแทกแรงจากนโยบายทรัมป์ 2.0 

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายทรัมป์ 2.0ผ่านผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนเป็นสำคัญ โดย

1.การส่งออกสินค้า : นโยบายกีดกันการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นวงกว้างของสหรัฐฯ  ที่กดดันการค้าโลกให้ชะลอลง ส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกไทย จาก (1) สินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยจะขยายตัวลดลง โดยเฉพาะสินค้าหลัก เช่น คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นกำแพงภาษี และ (2) ภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปตลาดสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ประกอบกับปัญหา Overcapacity ของจีนที่ยังไม่คลี่คลายในปัจจุบัน ยิ่งทำให้จีนจำเป็นต้องหาตลาดอื่นทดแทน สินค้าจีนจึงมีแนวโน้มทะลักเข้ามาขายตลาดอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะไทย ส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ผู้ผลิตไทยเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น และยิ่งกดดันให้ภาคการผลิตไทยฟื้นช้า SCB EIC ประเมินมูลค่าส่งออกไทยในปี 2025 จะลดลงราว 0.8 – 1 pp. จากผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น

2.การลงทุน : ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามนโยบายการค้าของทรัมป์ที่ยังไม่ชัดเจน อาจทำให้ภาวะการลงทุนซบเซาลง นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน ทำให้การย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยจึงอาจยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นหรือเป็นไปได้ช้า รวมถึงความเสี่ยงกดดันการลงทุนจะมีมากขึ้นในระยะต่อไป โดยเฉพาะการย้ายฐานการลงทุนจากสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ตามนโยบายกีดกันของสหรัฐฯ ที่ต้องการดึงการลงทุนกลับไปสหรัฐฯ มากขึ้นเช่นกัน SCB EIC ประเมินการลงทุนภาคเอกชนไทยในปี 2025 จะลดลงราว 0.4 – 0.5 pp. จากความไม่แน่นอนของการค้าและการลงทุนโลกที่เพิ่มขึ้น

ในภาพรวม SCB EIC ประเมินว่า ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกดดันให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ขยายตัวต่ำลงจากแนวโน้มเดิม สาเหตุหลักจากการส่งออกไทยถูกกดดันจากปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลง และการลงทุนในไทยที่ยังไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติได้เต็มที่ โดย SCB EIC ได้ประเมินผลกระทบนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจไทยผ่านแบบจำลองที่เชื่อมโยงผลกระทบเศรษฐกิจโลกตามผลศึกษาของ IMF (Oct24) สู่ช่องทางหลักของเศรษฐกิจไทย พบว่า การส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการกีดกันการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมา เศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะลดลงราว 0.5 pp. เทียบกับแนวโน้มเดิมก่อนรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 

แม้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะการกีดกันการค้าและลงทุนจะกดดันให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าขยายตัวต่ำลง แต่ในระยะปานกลาง SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบของนโยบายกีดกันระหว่างประเทศในมิติต่าง ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจเร่งตัวขึ้น ไทยอาจได้รับประโยชน์ จากรูปแบบการค้าโลกที่เปลี่ยนไป โดยกลุ่มประเทศที่มีขั้วเศรษฐกิจต่างกันจะพึ่งพาการค้าระหว่างกันลดลงและหันมาพึ่งพาประเทศที่มีบทบาทเป็นกลาง (Neutral stance) มากขึ้น หากประเทศไทยสามารถรักษาบทบาทเป็นกลางในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลกได้ อาจจะได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน (Trade and investment diversion)จากกลุ่มประเทศที่แบ่งขั้วกันมากขึ้น

นโยบายของประเทศไทยในการเตรียมรับมือโลกที่กำลังแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นภายใต้ทรัมป์ 2.0 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนโยบายเร่งด่วนในระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาการแข่งขันรุนแรงจากสินค้านำเข้าจากจีนที่จะเข้ามาตีตลาดไทยได้มากขึ้น และนโยบายรับมือในระยะยาวเพื่อเตรียมปรับตัวคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles