ศูนย์วิจัยกสิกรไทยป เปิดเผยว่า เงินบาท อ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางของเงินเยน เงินหยวน และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการขยับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ตามกระแสการคาดการณ์ของตลาดถึงความเป็นไปได้ว่า อดีตปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.นี้
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด (อาทิ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนและดัชนี ISM ภาคบริการเดือนมิ.ย. และข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์) ซึ่งทำให้ตลาดกลับมาเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังถูกดดันจากถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ระบุว่า เฟดมีความคืบหน้ามากขึ้นในการทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย แม้จะต้องใช้เวลาอีกระยะที่จะทำให้มั่นใจมากขึ้นก็ตาม
ในวันศุกร์ที่ 5 ก.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 มิ.ย. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 1-5 ก.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 845 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 10,633 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตรไทย 9,990 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 643 ล้านบาท)
สำหรับ สัปดาห์นี้ (8-12 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 36.30-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค ถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ และมุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนมิ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนก.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์และธนาคารกลางเกาหลีใต้ ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมิ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนด้วยเช่นกัน