เงินบาท เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ก่อนจะฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาท้ายสัปดาห์ตามทิศทางทองคำ สัปดาห์นี้คาดเคลื่อนไหว 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินบาท อ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เนื่องจากตลาดทยอยปรับลดโอกาสความเป็นไปได้ (Probability) ของการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค. ลง ประกอบกับมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนต.ค. ที่ออกมาดีกว่าที่คาด

อย่างไรก็ดี แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานของสหรัฐฯ ประกอบกับมีความไม่แน่นอนในประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (ศาลฎีกาสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศคำตัดสินและกระบวนการพิจารณาอาจต้องดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า) ขณะที่ เงินบาทพลิกแข็งค่ากลับมาตามแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ และการปรับตัวกลับมายืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ของราคาทองคำในตลาดโลก

 ในวันศุกร์ที่ 7 พ.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (31 ต.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย. 2568 นั้น แม้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,265 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยถึง 8,227 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 8,232 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)

ส่วนในสัปดาห์นี้ ( 10-14 พ.ย. 2568 ) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ส่วนปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย สถานการณ์การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของยูโรโซน และเครื่องชี้เศรษฐกิจจีนเดือนต.ค. (อาทิ ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวน การผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีก) ด้วยเช่นกัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles