ซีเอ็นเอ็น (CNN) รายงานว่า บริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีแลฟเว่น (7-11) ที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด และในต่างประเทศแถบทวีปอเมริกา เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจปิด 444 สาขา หรือราว 3% จากทั้งหมดมากกว่า 13,000 สาขาที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเมริกาเหนือที่กระจายอยู่ใน 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ส่งผลให้พนักงานจำนวนหลายพันคนขึ้นไปต้องตกงาน
สาเหตุจากผลการดำเนินงานของทั้ง 444 สาขาที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและตกต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ได้แก่ยอดขายเป็นไปอย่างเชื่องช้าเกินกว่าที่คาดไว้ จำนวนผู้เข้าใช้บริการมีปริมาณลดลงต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และยอดขายบุหรี่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจเมื่อมองในภาพใหญ่ของอเมริกาเหนือจะยังคงอยู่ในภาวะยืดหยุ่นสูงและยังเติบโตได้ แต่ ผู้บริโภคในกลุ่มคนชั้นกลางลงมาถึงระดับฐานรากกับเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภครายวันอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่อง ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงมาเป็นเวลานานถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดลงเกิดขึ้นครั้งแรกแต่อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับสูง ที่สำคัญ ตลาดการจ้างงานตกอยู่ในภาวะลดลงต่อเนื่อง
ปัจจัยลบทั้งหมดดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อปริมาณ หรือจำนวนของลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ประจำเดือนสิงหาคมผ่านมาลดลงอย่างมากถึง -7.3% ในภูมิภาคดังกล่าว ทำให้จำนวนลูกค้าลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ปัญหาดังกล่าวยังนำไปสู่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับยอดขายบุหรี่ โดยพบว่า ครั้งหนึ่งที่บุหรี่เป็นสินค้าที่มีสัดส่วนของยอดขายมากที่สุดสำหรับร้านสะดวกซื้อนั้น ในปัจจุบันกับมียอดขายดำดิ่งรุนแรงถึง -26% นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา