เทสลา อินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์และผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรืออีวียักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของโลกจากสหรัฐสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า บริษัทยกเลิกเป้าหมายการขายและจัดส่งรถเทสลาได้จำนวน 20 ล้านคันทั่วโลกภายในปี 2030 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า
ในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2020 อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอเทสล่าได้ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำยอดขายและส่งมอบรถอีวีเทสล่าจำนวน 20 ล้านคันทั่วโลกให้ได้ภายในปี 2030 ซึ่งจะเป็นเป้าหมายที่สูงกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับยอดขายโตโยต้ามอเตอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก และยังคงเน้นย้ำถึงเป้าหมายดังกล่าวในปี 2021 และปี 2022 ที่ผ่านมา
เทสลาได้ประกาศยุตติการผลิตรถอีวีโมเดลใหม่ทั้งคันในกลุ่มตลาดราคาประหยัด หรือที่เรียกว่า ออลนิวโมเดล โดยการตั้งราคาประมาณคันละ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 925,000 บาท ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนนโยบายและกลยุทธ์ไปเน้นระบบเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยคาดหวังว่าจะกลายเป็นกลุ่มตลาดรถยนต์ประเภทใหม่ที่สามารถผลักดันให้เทสล่าเติบโตได้ต่อไปในอนาคต
เทสลากำหนดวันเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่มีชื่อว่าโรโบแท็กซี่ (RoboTaxi) ในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ อีลอน มัสก์ ได้แถลงวิสัยทัศน์และนโยบายของเทสล่าผ่านระบบการประชุมทางไกลไปที่งาน วีว่า เทคโนโลยี ในประเทศฝรั่งเศสว่า โรโบแท็กซี่ และหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์เรียกว่าออพติมัส จะสร้างความลึกล้ำอย่างเหลือเชื่อเป็นปรากฎการณ์สำคัญให้กับโลก ในขณะเดียวกันได้ปฏิเสธที่จะพูดถึงรถอีวีเทสล่ารุ่นราคาประหยัดอย่างสิ้นเชิง
ด้านราคาหุ้นของเทสลา อินคอร์ปอเรชั่นพบว่า เมื่อปิดตลาดในคืนที่ผ่านมา มีราคาลดลง 3.5% นอกจากนี้ นับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของเทสลาร่วงลงอย่างหนักถึง -30% เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดรถอีวีของแบรนด์เทสลาหลังจากที่ในปี 2023 ผ่านไปนั้น เทสลามียอดขายและส่งมอบเพิ่มขึ้น 38% ซึ่งตกต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทที่ได้ประกาศไว้ที่ระดับ 50% นอกจากนี้ เมื่อเดือนมกรามกราคมผ่านไป เทสลาได้ออกมาเตือนว่า ยอดขายรถอีวีเทสลามีแนวโน้มจะลดลงในปีนี้ด้วย