วิจัยกรุงศรี เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้นำมาสู่สงคราม “ธาตุหายาก” หรือ “แรร์เอิร์ธ” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำในการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังเร่งสร้างพันธมิตรโดยทำข้อตกลง (MOU) ร่วมกับประเทศต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ รวมถึงไทยด้วย ทั้งนี้ไทยถือเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมต้นน้ำจากกระบวนการแต่งแร่แรร์เอิร์ธเพื่อส่งออก ขณะที่อุตสาหกรรมปลายน้ำของไทยได้อานิสงส์จากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนผลิตโลหะและแม่เหล็กจากแรร์เอิร์ธ ในอนาคตเมื่อความต้องการแรร์เอิร์ธมีแนวโน้มสูงขึ้นตามความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยจำเป็นต้องประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากของเสียอันตรายที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม
แรร์เอิร์ธเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์และสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (มอเตอร์แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง) อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (เครื่องกำเนิดไฟฟ้าของกังหันลมและแบตเตอรี่) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต) อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)) รวมถึงอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (อาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบนำทาง และเรดาร์) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรร์เอิร์ธเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศต่างๆ ในโลก
ไทยอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธของโลก
อุตสาหกรรมต้นน้ำ: การทำเหมืองแร่
กิจกรรมต้นน้ำเริ่มจากการขุดและสกัดสินแร่ที่มีแรร์เอิร์ธ เช่น แร่บาสต์เนไซต์ และแร่โมนาไซต์ จากนั้นนำไปแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น (Mineral concentrate)
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey: USGS) ระบุว่าในปี 2567 จีนสามารถผลิตแรร์เอิร์ธจากการทำเหมืองได้มากที่สุดถึง 270,000 ตัน5/ หรือราว 70% ของโลก รองลงมาคือสหรัฐฯ (45,000 ตัน) และเมียนมา (31,000 ตัน) ขณะที่ไทยผลิตได้ 13,000 ตัน เป็นอันดับที่ 4 ร่วมกับออสเตรเลียและไนจีเรีย นอกจากนี้ จีนยังมีปริมาณสำรอง (Reserve) ของแรร์เอิร์ธมากที่สุดถึง 44 ล้านตัน ซึ่งสะท้อนศักยภาพในการทำเหมืองแร่เพื่อผลิตแรร์เอิร์ธ ตามด้วยบราซิล (21 ล้านตัน) อินเดีย (6.9 ล้านตัน) ออสเตรเลีย (5.7 ล้านตัน) รัสเซีย (3.8 ล้านตัน) และเวียดนาม (3.5 ล้านตัน) ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ มีปริมาณสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน
ไทยอยู่ตรงไหน? ประเทศไทยยังไม่มีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธเชิงพาณิชย์ แต่มีกิจกรรมแต่งแร่ (Beneficiation) โดยนำเข้าสินแร่ดิบมาแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น ซึ่งเป็นการแยกแร่ที่มีแรร์เอิร์ธออกจากหินและแร่อื่นๆ จากนั้นส่งออกไปยังประเทศที่สามารถกลั่นแรร์เอิร์ธได้7/ ส่งผลให้ในปี 2567 USGS ประเมินว่าไทยมีผลผลิตแรร์เอิร์ธอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก แม้ว่าจะมีปริมาณสำรองอยู่ในอันดับที่ 12 หรือเพียง 4,500 ตัน โดยโรงงานแต่งแร่ที่สำคัญในไทย ได้แก่ บริษัท สินแร่สาคร จำกัด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบริษัท รัตนรังษิวัฒน์ จำกัด ในจังหวัดพังงา
อุตสาหกรรมกลางน้ำ: การแยกและถลุงแร่
สินแร่เข้มข้นที่ได้จากเหมืองแร่จะถูกนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อผลิตสารประกอบโลหะหรือแรร์เอิร์ธออกไซด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง (Rare-earth oxide: REO) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตโลหะและแม่เหล็กในขั้นปลาย กิจกรรมแปรรูปแร่นับว่ามีมูลค่าเพิ่มสูงตามความซับซ้อนของเทคโนโลยี โดยจีนเป็นผู้นำตลาด ด้วยกำลังการผลิตราว 80-90% ของทั้งโลก ส่งผลให้จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ซึ่งประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีของโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนสูง ขณะที่มาเลเซียถือเป็นผู้เล่นที่เริ่มมีบทบาทสูงขึ้น โดยปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกสารประกอบแรร์เอิร์ธอันดับที่ 2 รองจากจีน ซึ่งการผลิตมาจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในมาเลเซียตั้งแต่ปี 255510/ ส่งผลให้มาเลเซียส่งออก REO ได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกตั้งแต่ปี 2557 ส่วนสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 รองจากจีนและมาเลเซีย โดยมีตลาดสำคัญคือจีน เวียดนาม และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เร่งขยายกำลังการผลิตในประเทศ โดยสามารถดึงบริษัท Lynas Rare Earths ให้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธในรัฐเท็กซัส ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569
ไทยอยู่ตรงไหน? ปัจจุบันไทยยังไม่สามารถแปรรูปแรร์เอิร์ธได้ในระดับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสารประกอบแรร์เอิร์ธในขั้นกลาง เพื่อใช้ในการผลิตโลหะและแม่เหล็กในอุตสาหกรรมขั้นปลาย
อุตสาหกรรมปลายน้ำ: การผลิตโลหะและแม่เหล็กจากแรร์เอิร์ธ
ในขั้นนี้ ผู้ผลิตจะนำสารประกอบโลหะหรือแรร์เอิร์ธออกไซด์ (REO) มาผ่านกระบวนการเพื่อแปลงเป็นโลหะ (Metal) และโลหะผสม (Alloy) จากนั้นนำไปผลิตแม่เหล็กถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง (Permanent magnet) เช่น แม่เหล็ก Neodymium-Iron-Boron (NdFeB) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของมอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และสมาร์ตโฟน เป็นต้น
ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตแม่เหล็กถาวรสูงที่สุด โดยสามารถส่งออกได้ราว 63% ของการส่งออกทั้งโลก รองลงมาคือญี่ปุ่น (เช่น บริษัท Proterial11/) เวียดนาม (เช่น บริษัท Shin-Etsu Chemical) เยอรมนี (เช่น บริษัท Vacuumschmelze) และสหรัฐฯ (เช่น บริษัท MP Materials) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเพียง 20% ทั้งนี้ประเทศผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานลม ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จีนเริ่มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่กำลังเร่งขยายฐานการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน
ไทยอยู่ตรงไหน? ข้อมูลการค้าของไทยสะท้อนว่าไทยนำเข้าวัตถุดิบแรร์เอิร์ธกลางน้ำมาผลิตเป็นโลหะและแม่เหล็ก เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก กล่าวคือในปี 2567 ไทยนำเข้าสารประกอบแรร์เอิร์ธ (HS284612/) มูลค่า 64.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยเกือบ 80% เป็นการนำเข้าจากมาเลเซีย รองลงมาคือสหรัฐฯ เวียดนาม และจีน (ภาพที่ 4) ขณะที่ไทยส่งออกโลหะที่ผลิตจากแรร์เอิร์ธ (HS 28053013/) มูลค่า 65.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับที่ 2 รองจากจีน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 1 ใน 3 ของโลก โดยกว่า 70% ส่งไปยังญี่ปุ่น ตามด้วยเวียดนาม จีน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ ไทยยังนำเข้าโลหะแรร์เอิร์ธ (วัตถุดิบหนึ่งในการผลิตแม่เหล็ก) เป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยมาจากมาเลเซีย (78%) เอสโตเนีย เวียดนาม และจีน สำหรับผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายอย่างแม่เหล็กถาวร ไทยส่งออกเป็นอันดับที่ 9 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 55.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือสัดส่วน 1.1% ของการส่งออกแม่เหล็กถาวรของทั้งโลก โดยตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น (40%) และจีน (38%)
ผู้ผลิตรายสำคัญในอุตสาหกรรมปลายน้ำของไทยคือบริษัท แม็กนิเควนช์ (โคราช) จำกัด ในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งประกอบกิจการโรงงานผลิตผงแม่เหล็ก (Magnetic powder) โดยเป็นบริษัทในเครือของบริษัท Neo Performance Materials ผู้ผลิตวัสดุแม่เหล็กชั้นนำจากแคนาดา ซึ่งมีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเพียงแห่งเดียวในไทย
โดยสรุปแล้ว จากการพิจารณาข้อมูลการค้าสินค้าและผลสำรวจที่เกี่ยวข้องกับแรร์เอิร์ธข้างต้นพบว่า ปัจจุบันไทยมีบทบาทจำกัดในอุตสาหกรรมกลางน้ำ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในไทย ขณะที่ไทยเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ โดยอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบ (แร่ดิบและแรร์เอิร์ธบริสุทธิ์) มาผ่านกระบวนการเพิ่มมูลค่าในประเทศ โดยได้อานิสงส์จากการลงทุนจากต่างประเทศ