ธนาคารยูบีเอส เอจี (UBS AG) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของจีนในปี 2024 นี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.9% ลดลง 0.3% มาเหลือที่ 4.6% สาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีข้อจำกัดและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่เรื้อรังภายในจีน นอกจากนี้ยังได้ลดเป้าคาดการณ์จีพีเศรษฐกิจจีนในปี 2025 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 4.6% ลงมาเหลือเพียง 4%
การปรับตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวของธนาคารยูบีเอสเอจี เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทชั้นนำที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของจีน เช่น พีพีดี โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นเจ้าของเทมู เป็นต้น ได้ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ซึ่งปรากฏว่ามีผลประกอบการที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนนั้นตกต่ำลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่เรื้อรังต่อเนื่องทั้งหมดส่งผลให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2024 อาจจะไม่ขยายตัวตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 5%
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจขยายตัวในปีนี้ของจีนหลังจาก หลังจากในไตรมาส 2 ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ไตรมาสติดกัน ด้านธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาได้ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนหรือเพียงแค่ 4.6% ในปีนี้ สอดคล้องกับโนมูระ โฮลดิ้งส์ อิงค์ ตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของจีนลงเรือที่ระดับ 4.5% แม้แต่ผลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พบว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 มาอยู่ที่ระดับ 4.6% จากเดิมที่ 4.7%
ธนาคารยูบีเอส เอจี เปิดเผยต่อไปว่า ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการในการแก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่สิ้นปี 2022 เป็นต้นมา เช่น รถค่าวงเงินดาวน์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ รถข้อจำกัดและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิจารณาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ แต่ปรากฏว่าในแง่การดำเนินมาตรการทุกอย่างกลับเป็นไปอย่างล่าช้า และผลการแก้ไขที่เกิดขึ้นล้วนอยู่แต่ในวงจำกัดเท่านั้น
ธนาคารยูบีเอส เอจี ยังได้ปรับลดมุมมองที่มีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน ลงไปในทิศทางด้านลบ และยังคาดการณ์ว่า วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ถึงจุดต่ำสุดโดยคาดว่าอาจจะใช้เวลานานขึ้นไปจนถึงช่วงกลางปี 2026 หรืออีกกว่า 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากยอดขายบ้านใหม่ในจีนประจำเดือนกรกฎาคมมียอดขายดำดิ่งเกือบ -20% นอกจากนี้ เงินกองทุนของรัฐบาลกลางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์โดยมีเป้าหมายปล่อยกู้ซ้ำ ซึ่งมีมูลค่ากองทุนสูงถึง 580,000 ล้านหยวน หรือกว่า 2.78 ล้านล้านบาทนั้น มีการใช้เงินในกองทุนดังกล่าวไปเพียง 8%
แม้แต่ภาวะตลาดหุ้นจีนที่ตกต่ำ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นซีเอสไอ 300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นหลักสำคัญของการซื้อขายหุ้นในประเทศจีน พบว่า ดัชนีร่วงต่ำลงถึง -4.2% นับเป็นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันส่วนสำคัญก็มาจากหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีภาวะตกต่ำย่ำแย่ต่อเนื่อง ดังนั้นมีแนวโน้มสูงที่ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นจีนปีนี้จะเป็นลบ ซึ่งจะส่งผลต่อการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ท่ามกลางภาพรวมของตลาดหุ้นในแถบเอเชียที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง 10%