นางสาวปพิณริยา พึ่งเขื่อนขันธ์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า คนไทยที่ไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศนั้น ประเทศอังกฤษได้รับความนิยมมากที่สุดมาเป็นอันดับ 1 โดยส่วนใหญ่จะซื้อในกรุงลอนดอน เพื่อเป้าหมายเป็นที่พักอาศัยของลูกหลานที่ถูกส่งไปเรียนในอังกฤษ จะมีงบประมาณตั้งแต่ 800,000 ปอนด์สเตอริง ไปจนถึง 2 ล้านปอนด์สเตอริง หรือคิดเป็นมูลค่า 36-91 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายนี้สำหนับขนาด 1-2 ห้องนอน
อันดับ 2 ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น คนไทยไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเป้าหมายในลงทุนนั้น โดยส่วนใหญ่จะสนใจเมืองฮอกไกโด ซึ่งเป็นเมืองที่มีสกีรีสอร์ทชื่อดัง สำหรับมูลค่าการซื้อขายขั้นต่ำขนาด 2 ห้องนอนอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ เมืองโอซาก้าเหมาะกับคนที่สนใจจะเริ่มลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น สาเหตุระดับราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ล้านบาทเท่านั้นสำหรับขนาดห้องสตูดิโอ 20 ตารางเมตร
นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายโควตาต่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ส่วนใหญ่ยังเป็นจีน ไต้หวัน รัสเซีย ล่าสุดเมียนมาที่เริ่มเข้ามามากขึ้น ทั้งซื้ออยู่เองและลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งได้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% โดยจีนและไต้หวันซื้อราคาแพงสุด ในทำเลกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ คอนโดมิเนียมมีตั้งแต่ 5 ล้านบาทถึงเพนต์เฮาส์ 100 ล้านบาท เน้นห้องใหญ่ ซื้อแบบ 1 ยูนิตและ 5-10 ยูนิต
นายไซม่อนกล่าวว่า ส่วนรัสเซียจะซื้อคอนโดมิเนียมภูเก็ตราคา 2-5 ล้านบาท และวิลล่าตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปเป็นการซื้อแบบสิทธิการเช่ายาว 30+30 ปี ขณะที่เมียนมาซื้อบ้านราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทที่ภูเก็ต เชียงใหม่ ส่วนคอนโดมิเนียมซื้อราคา 2-5 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ตเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะและหนีความไม่สงบด้านการเมืองและการเกณฑ์ทหาร มาซื้ออสังหาฯในประเทศไทยไว้อยู่อาศัยและลงทุนปล่อยเช่า