นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ของรัฐบาลที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าต้องขอบคุณนายกฯ อนุทินที่รับฟังภาคเอกชน โดยก่อนหน้านี้ กกร.เคยเสนออยากได้ทีมเศรษฐกิจที่เป็นคนเก่ง เป็นคนดี มีประสบการณ์ กล้าตัดสินใจทำงานได้ทันที ซึ่งขณะนี้รายชื่อรัฐมนตรีคนนอก โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่มีรายชื่อออกมา ไม่ว่าจะเป็น รมว.คลัง และรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ซึ่งมีประสบการณ์การทำงาน เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร มีการใช้ดิจิทัลเพื่อเพิ่มความง่าย สะดวก และโปร่งใสให้กับผู้เสียภาษี ด้วยความเป็นลูกหม้อกระทรวงการคลัง เชื่อว่าจะสามารถทำงานได้ทันที
ส่วนนายวรภัค ธันยาวงษ์ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน และยังเป็นทีมงานนายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลัง จึงมั่นใจว่าการทำงานสามารถต่อติดได้ทันที สองแรงแข็งขันของกระทรวงการคลังน่าจะเอาอยู่
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามข่าวคือ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ก็เป็นลูกหม้อกระทรวงการต่างประเทศ มีประสบการณ์มากมาย จึงเชื่อว่าจะมีเครือข่ายคอนเนกชัน มีความเข้าใจในบริบทที่ดี ส่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีรายชื่อนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ก็ผ่านงานบริษัทระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไอบีเอ็ม บมจ.ไทยคม คิดว่าในเรื่องการต่างประเทศไม่น่ามีปัญหา แต่อาจจะติดนิดเดียวตรงที่ไม่เคยอยู่ในระบบราชการมาก่อน อาจจะต้องใช้เวลาปรับจูน กระทรวงพลังงาน ตามข่าวคือ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่ รมว.พลังงาน อดีตซีอีโอ ปตท. เป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจพลังงานเป็นอย่างดีคนหนึ่งของไทย มั่นใจว่าจะทำงานได้ทันที
อย่างไรก็ดีกระทรวงเศรษฐกิจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งเป็นกระทรวงโควตาพรรคร่วม สิ่งที่ฝากคือ โควตาคนนอกที่ตอนนี้ออกมาค่อนข้างดีทางด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับโควตาพรรคร่วม ที่ต่างคนต่างมาจากคนละพรรค ทำอย่างไรจึงจะทำงานประสานกันไปในทิศทางเดียวกัน คงต้องมีคนที่มีบารมีเป็นคนที่จะตัดสินใจ
เนื่องจากรัฐบาลอนุทิน 1 มีเวลาสั้นตาม MOA คือมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ทุกนาทีมีค่ามากต้องทำงานอย่างเต็มที่ ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือปัญหาเศรษฐกิจ ทำอย่างไรจะฟื้นกำลังซื้อ ลดค่าครองชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชนเพิ่ม รวมทั้งลดหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังกดทับกำลังซื้อ
ส่วนภาคการส่งออกเจอปัญหาความท้าทายรอบด้าน ทั้งภาษี การแย่งตลาด การไหลบ่าของสินค้าราคาถูกส่งผลกระทบต่อ SME ไทย เหล่านี้ล้วนเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไขในช่วง 4 เดือนนี้เพื่อประคองไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งมีรัฐบาลถาวรในอนาคต ซึ่งการทำงานร่วมกันของรัฐมนตรีคนนอก กับรัฐมนตรีที่อยู่ในระบบโควตา ในด้านเศรษฐกิจ จะทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ตรงจุด และรวดเร็วให้ทันการณ์ โดยเฉพาะปัญหาการเงิน เงินกู้ SME รวมถึงประเด็นความมั่นคง ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยิ่งนานมูลค่าการค้าชายแดนก็ยิ่งเสียหายมากเฉลี่ยวันละ 500 ล้านบาท