สถานการณ์พายุโซนร้อน และพายุไต้ฝุ่นหลายลูกที่พัดผ่านไปแล้วในภูมิภาคเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ในช่วงเริ่มต้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายนจนมาเข้าสู่กลางสัปดาห์ที่ 3 ในขณะนี้ ทำให้เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ของประเทศจีน เวียดนาม เมียนมา ไทย สปป.ลาว เป็นต้น
เริ่มต้นที่ประเทศจีน ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมาถึงวันนี้ 17 กันยายน 2024 พายุไต้ฝุ่นเบบินคาพัดขึ้นฝั่งประเทศจีน โดยเฉพาะในหลินกั่ง และผู่ตงซึ่งอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้เกิดฝนตกหนัก และลมกระโชกแรง นับเป็นพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดนับในรอบ 75 ปีที่พัดถล่มเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลท้องถิ่นเซี่ยงไฮ้ ประกาศเตือนภัยยกระดับสีแดง พร้อมแนะนำให้ประชาชนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ สั่งอพยพประชาชนประมาณ 9,000 คนแล้ว ขณะที่สนามบินนานาชาติของเซี่ยงไฮ้ทั้ง 2 แห่งปิดให้บริการเที่ยวบินชั่วคราว ยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวบิน และพร้อมสั่งปิดทางหลวงบางสาย
เมื่อวานนี้ 16 กันยายน 2024 นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศสปป.ลาว พบว่าน้ำระดับน้ำในแม่น้ำโขงเอ้อล่นทะลักท่วมมาตั้งแต่วันที่ 12 กันยายนผ่านมา ส่งผลน้ำขึ้นสูงสุดเกือบ 3 เมตรในบางพื้นที่ พื้นที่บ้านดอน อยู่ใกล้กับนครหลวงเวียงจันทน์นั้น ชาวบ้านดอนยอมรับว่าน้ำท่วมปีนี้เป็นครั้งที่รุนแรงในรอบ 16 ปี ในวันนี้ 17 กันยายน พบว่า สภาพน้ำท่วมสูงมา 5 วันติดต่อกันแล้ว และพึ่งจะลดลงประมาณ 50 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม แต่ยังถือว่าระดับน้ำลดลงช้ามาก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2024 จังหวัดหนองคาย ปรากฏว่า ภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่เกิดจากวิกฤตการณ์แม่น้ำโขงรอบที่ 2 ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และหนักกว่ารอบแรก ส่งผลเกิดสถานการณ์น้ำท่วมหนักสุดในรอบ 16 ปีในจังหวัดหนองคาย พื้นที่เสียหายมีหลายแห่งส่งผลให้ทั้ง 6 อำเภอ หมู่บ้าน รวมกว่า 3,000 หลังคาเรือนถูกน้ำท่วม เช่น อ.รัตนวาปี อ.เมืองหนองคาย อ.ศรีเชียงใหม่ อ.สังคม อ.ท่าบ่อ และ อ.โพนพิสัย
จังหวัดเชียงราย นับตั้งแต่วันที่ 10 กันยายนเป็นต้นมา ชูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิที่ส่งผลกระทบในประเทศเมียนมาทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและทะลักมาจากประเทศเมียนมาเข้าสู่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ส่งผลให้เกิดระดับน้ำท่วมสูงตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไปเข้าทำลายและสร้างความเสียหายหนักสุดในรอบ 40-60 ปี รวมถึงความสูงของดินโคลนมากกว่า 1 เมตรขึ้นไปที่ไหลมาพร้อมกับมวลน้ำรวดเร็วในหลายอำเภอรวมทั้งอำเภอเมืองด้วย คาดการณ์ว่าสร้างความเสียหายมากกว่า 2,200 ล้านบาทในพื้นที่จังหวัดเชียงราย