นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน ปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนกันยายน 2568 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิม อยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท เท่ากับตัวเลขการคลาดเคลื่อนปรับลดลงกว่า 50% จากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา โดยมีการพิจารณา 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง 2.ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น และ 3.ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น โดยการนำเข้าลดลง ดุลการค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น สิ่งที่เราอาจหาไม่เจอหรือมองไม่เห็น ก็เริ่มอธิบายได้มากขึ้น NEO จึงปรับลดลง
สำหรับกรณี ตัวเลข NEO เป็นเงินใหม่ที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยของปี 2568 ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นหรือไม่ ต้องบอกว่า NEO เป็นตัวเลขส่วนหนึ่งของดุลการชำระเงินที่แจกแจงกิจกรรมไม่ได้ของปี 2567 ไม่ใช่ปีนี้ ตัวธุรกรรมที่เกิดขึ้น และ NEO ไม่ได้กดดันค่าเงินบาท เพราะเมื่อปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าเพียง 0.1% เท่านั้น โดยยกตัวอย่างบริษัทต่างชาติ กรรมการท่านหนึ่งมีธุรกิจสีเทา นำเงินเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทย ผ่านหรือไม่ผ่านตัวกลาง โดยส่วนนี้จะเก็บข้อมูลได้ ซึ่งมีข้อมูลและอาจเป็นเทา หรือไม่เทาก็ได้ จากนั้นหากมิจฉาชีพนำเงินที่ได้มาไปซื้อทองในร้านรายย่อย ซึ่งการรู้จักและยืนยันตัวตนลูกค้ามีน้อย และอาจนำทองกลับประเทศไป ซึ่งอาจเป็นความเทาได้ เท่ากับความเทาอาจอยู่ได้ในหลายที่ไม่ใช่แค่ NEO หรือการใช้คริปโตเคอร์เรนซี มีซื้องอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเห็นการซื้อแต่ไม่เห็นรูปแบบการใช้จ่าย ทำให้การตรวจสอบว่าเป็นธุรกรรมเทาหรือไม่ ธปท.ได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบตาม หน้าที่กำกับหากธุรกรรมต้องสงสัยต่อไป
“ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (NEO) ในดุลการชำระเงิน เมื่อเก็บข้อมูลอาจยังไม่สามารถแจกแจงระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติได้ ทำให้แม้เห็นตัวเลขการทำธุรกรรมระหว่างกันเกิดขึ้น แต่อาจจำแนกแยกแยะไม่ได้ว่า จุดที่ทำธุรกรรม เม็ดเงินที่เกิดขึ้นไปอยู่ในกิจกรรมแบบใด อาทิ การส่งออก การนำเข้า การเปลี่ยนมือของสินทรัพย์ แต่บางจุดอาจเห็นยังไม่ครบตามข้อมูลที่ยังมาไม่ครบ และบางส่วนที่ยังไม่สามารถเก็บได้ครบอย่างแท้จริง อาทิ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีธุรกรรมการเงินจากการจับจ่ายใช้สอย แต่ยังหาข้อมูลครบทั้งหมดไม่ได้ว่าใช้ไปกับอะไรบ้าง จึงเป็นที่มีมาของตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติดังกล่าว”
สำหรับ ค่าเฉลี่ยของสัดส่วนตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (NEO) เทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในทั่วโลก อยู่ที่ 2.4% ซึ่งค่าเฉลี่ยของไทยอยู่ 1.3% เมื่อมีการปรับปรุงตามรอบ ค่าเฉลี่ยลดลงมาที่ 1% เท่ากับตัวเลข NEO ของไทยต่ำกว่าตัวเลขในอดีต และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก รวมถึงกลุ่มเอเชีย 39 ประเทศ ที่เฉลี่ยอยู่ 3.3% สะท้อนถึงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศอยู่แล้ว ซึ่งหลายประเทศก็มีปัญหาใกล้เคียงกับไทยเช่นกัน ทำให้ NEO อาจไม่ได้เป็นสีเทาทั้งหมด แต่เป็นวิธีการวัด หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของการทำการค้าระหว่างประเทศ หรือเทรดเครดิตเปลี่ยนไป โดยธปท.อยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อปรับปรุงวิธีประมาณการให้แม่นย้ำมากขึ้น ไม่ได้ปล่อยให้สูงเกินไป
โดยตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (NEO) ที่มีการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น ทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ 2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของ นักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.ข้อมูลสินเชื่อการค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลา การชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ