นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. โดยเอาชนะ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ประกาศว่าจะใช้โอกาสนี้ในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ เช่น การเรียกเก็บภาษีนำเข้า การลดภาษี และการเนรเทศผู้อพยพจำนวนมาก
โดยผลสำรวจจากรอยเตอร์/อิปซอสส์ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันมองว่าเงินเฟ้อเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ควรจัดการในช่วง 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2568 โดย 35% ของผู้ตอบแบบสำรวจเลือกเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทรัมป์ควรให้ความสำคัญ รองลงมาคือ 30% ที่ระบุว่าควรให้ความสำคัญกับนโยบายคนเข้าเมือง และ 27% ระบุว่าทรัมป์ควรให้ความสำคัญกับการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวม
และอีก 23% ระบุว่า ทรัมป์ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียว ในขณะที่มีผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนน้อยกว่านั้นที่มองว่า ทรัมป์ควรให้ความสำคัญกับนโยบายภาษี อาชญากรรม หรือความขัดแย้งในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การใช้นโยบายกำแพงภาษีที่เข้มงวด ซึ่งทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะเก็บภาษีอย่างมากกับสินค้านำเข้าจากจีน อาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทจะผลักภาระต้นทุนภาษีไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยส่งผลกระทบต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และได้ช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปีนี้
อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นในช่วงปี 2564 และ 2565 จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่อัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบเป็นรายปีก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 1% ที่ระบุว่า ทรัมป์ควรให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศและภาษีศุลกากร
สำหรับการสำรวจครั้งนี้เป็นการสอบถามความคิดเห็นจากชาวอเมริกัน 1,014 คนทั่วประเทศ และมีค่าความคลาดเคลื่อนประมาณ 3 จุด
ในกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันนั้น 56% ระบุว่าทรัมป์ควรให้ความสำคัญกับนโยบายคนเข้าเมือง ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเพียง 11% ที่คิดเช่นนั้น นอกจากนี้ ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต 33% ระบุว่าทรัมป์ควรมุ่งเน้นการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชนในประเทศ ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเพียง 12% ที่คิดเช่นนั้น