บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่ารายได้หลักรวมจำนวน 17,012.63 ล้านบาทลดลง 477.97 ล้านบาท หรือ 2.73% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และ รายได้จากการให้บริการลูกค้ารวมจำนวน 15,929.78 ล้านบาท ลดลง 460.45 ล้านบาท หรือ 2.81% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่รายได้ค่าเช่า จำนวน 467.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.30 ล้านบาท หรือ 7.67% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปร และ ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้อื่น จำนวน 615.38 ล้านบาท ลดลง 50.82 ล้านบาท หรือ 7.63%
บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 เท่ากับ 1,442.00 ล้านบาท ลดลง 91.13 ล้านบาท หรือ 5.94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 4,776.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาท หรือ 0.26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักรายได้รวมจำนวน 54,293.93 ล้านบาท ลดลง 351.21 ล้านบาท หรือ 0.64% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และ รายได้จากการให้บริการลูกค้า(Home Service) รวมจำนวน 50,991.79 ล้านบาท ลดลง 410.74 ล้านบาท หรือ 0.80% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความกดดันในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งส่งผลในเรื่องของการผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อ และ ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกันยายน ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยภายหลังการจัดตั้งเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณ และ ออกนโยบาย “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” โดยมอบเงิน 10,000 บาท แก่ประชาชนผู้มีสิทธิ เพื่อกระตุ้นการบริโภค และ เพิ่มเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศ จึงอาจเกิดกำลังซื้อใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่า อาจส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัทฯในอนาคต โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยของฝั่งธุรกิจเมกาโฮม
สำหรับช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงเวลาที่ตรงกับฤดูฝนของประเทศไทย โดยปีนี้มีค่าเฉลี่ยฝนตกมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อความสะดวกในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าที่สาขา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ยังคงได้รับผลกระทบในเรื่องของน้ำท่วม โดยคาดว่า อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคม ซึ่งภายหลังระดับน้ำลดลง และ เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ลูกค้าจะมีการจับจ่ายใช้สอยอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดในระยะแรก และ อุปกรณ์เพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในลำดับถัดไปทำให้ยอดขายของสาขาที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่น้ำท่วมปรับตัวสูงขึ้น หลังน้ำลงในระหว่างไตรมาส 3