นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า สถานการณ์โลกรวมถึงเศรษฐกิจมี 3 ปัจจัยท้าทายต่อเนื่องจากต้นปีมาถึงปัจจุบันและในอนาคต ได้แก่ ปัจจัยแรกความไม่แน่นอนของการแบ่งขั้วเศรษฐกิจโลก นโยบายการค้าโลก จีนและรัสเซียเน้นการ Global South จะทำให้เกิดการทุ่มตลาดของจีนมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่โดนสินค้าจีนทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การใช้สัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศที่ยังไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อภาษีที่เราต้องเผชิญมีความไม่ชัดเจน
ปัจจัยถัดมา สถานการณ์เปราะบางของผู้บริโภคและเศรษฐกิจในประเทศในผู้บริโภค หรือลูกค้ารายย่อย ตลาดบริโภคเปราะบาง หนี้ครัวเรือนและหนี้บุคคลของลูกค้ามีสัดส่วนที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทแข็งค่า การท่องเที่ยวค่อนข้างเหนื่อยและไม่ดีนัก ปัจจัยสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงในการแข่งขันธุรกิจธนาคารทำให้การแข่งขันในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก
สำหรับธุรกิจธนาคารใน 5-10 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะได้เห็นชัดเจน คือขนาดของธนาคารลดลง จำนวนพนักงานลดลงเมื่อเทียบกับอดีต จากที่เคยมีพนักงานประมาณ 18,000-19,000 คน จะลดลงเหลือที่ระดับหมื่นคนต้นๆ เช่น สาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 650 สาขา มองว่าสาขาที่เหมาะสมจะเหลืออยู่ใกล้เคียง 500 สาขาในอนาคต ดังนั้น การปรับและลดขนาดองค์กรนี้จะเกิดขึ้นไปกับการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ การมีประสิทธิภาพต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น เช่น คน 1 คน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากเทคโนโลยี
ในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร และลดต้นทุนนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันให้ลูกค้าธนาคารหันมาใช้ดิจิทัลมากขึ้นอีก 20% โดยไปใช้ SCB EASY จากปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ใช้งานผ่านแอปอยู่ที่ 17 ล้านราย
ซีอีโอ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยต่อไปว่า แผนธุรกิจธนาคาร SCB ปี 2568 อยู่ภายใต้ Towards Future Proof Banking ตั้งเป้าหมายตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งในกว่า 1,100 วันผ่านมา คือ ธนาคารเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง หรือ Wealth Management และการสร้างธนาคารให้เป็นดิจิทัลแบงก์ หรือ Digital Bank ที่มีการปฏิสัมพันธ์เข้าถึงได้ หรือ Human Touch
สำหรับสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว สะท้อนจากผลตอบแทนด้าน ROE หรือ Return on Equity เป็นสองหลัก ขณะที่ต้นทุนต่อรายได้ตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 40% โดยมีเป้าหมายให้เข้าใกล้ระดับ 30% ให้ได้มากที่สุด รายได้จากช่องทางดิจิทัลจากอดีตอยู่เพียง 6-7% แต่ขึ้นมาสู่ปัจจุบันที่ขึ้นอยู่ที่ 25% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
