กกร. ห่วงเศรษฐกิจจ่อซึมยาว เหตุการเมืองไม่แน่นอน ไร้นายกฯฉุดชะงัก หลายปัญหารอแก้ไข หวั่นถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ กระทบการเบิกจ่ายงบ  ดึงความเชื่อมั่น

นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวนอยู่ สาเหตุจากนโยบายการค้าสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐ ตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย และสหรัฐยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึง ถือเป็นแรงกระแทกเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ภาวะชะลอตัว จากการส่งออกที่ดีกว่าปกติ เพราะมีการเร่งส่งคำสั่งซื้อในช่วงครึ่งปีแรก แต่ครึ่งหลังยังมีความกังวลจากหลายปัจจัย โดยคาดว่าปี 2568 จีดีพีไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% จากช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1% เพราะมีปัจจัยที่สร้างการชะงักงันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

โดยอัตราการว่างงานในระบบช่วงไตรมาส 2/2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% เทียบไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานในภาคการเกษตรอยู่ที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นประมาณ 5% เทียบปี 2567 ภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย? และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของธุรกิจเอสเอ็มอีไทย เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งต่องระมัดระวังเพราะอาจเข้าข่ายการแทรกแซงค่าเงิน และอาจถูกแซงชั่นเพิ่มเติมอีก รวมถึงเห็นความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น อาทิ พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีความเปราะบาง จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่า 50% ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน แทนการปรับขึ้นขั้นต่ำ สร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย ภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐต่อไป

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles