อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญารับมอบนโยบายเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs ด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ในการแถลงนโยบาย Quick Big Win จากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยประเด็นขับเคลื่อนสำคัญที่จะต้องเร่งเดินหน้าทำทันที คือการเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าท้องถิ่นและใช้ GI เป็นทางรอดให้กับ SMEs พร้อมยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง แข่งขันได้ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs โดยการเพิ่มรายได้ผ่านสินค้า GI ซึ่งถือเป็นของดีประจำถิ่น และที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น GI สามารถเพิ่มมูลค่า ได้มากกว่าสินค้าทั่วไปถึง 2-5 เท่า อาทิเช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง จากจังหวัดนครศรีธรรมราช ราคาขายก่อนเป็น GI อาจอยู่ที่ลูกละ 100 – 200 บาท แต่เมื่อได้เป็น GI ราคาขายอยู่ที่ลูกละ 300 – 500 บาท ซึ่งแนวทางที่กรมฯ จะเร่งดำเนินการ คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและ SMEs ผ่านกลไกการส่งเสริมสินค้า GI ไทย ที่ปัจจุบันมีจำนวน 239 สินค้า ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2568 กว่า 82,000 ล้านบาท และเพื่อต่อยอดให้เห็นผล Quick Win อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน กรมฯ จะเร่งต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ทั้งการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า การพัฒนาภาพลักษณ์สินค้าสู่ระดับพรีเมียม และการขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการขึ้นทะเบียน GI ในสินค้าใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงว่าที่ GI 5 รายการ ได้แก่ ทุเรียนชุมพร กกเหล่าพัฒนา (นครพนม) ไก่เบตงยะลา ผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) และมะยงชิดแม่ย่าสุโขทัย โดยจะร่วมมือกับพาณิชย์จังหวัด ร่วมเฟ้นหาสินค้าคุณภาพที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นให้เข้าสู่ระบบการคุ้มครอง GI พร้อมประสานความร่วมมือสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศร่วมวิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย เพื่อร่วมกันส่งเสริมการขยายตลาดสินค้า GI ไทยสู่สากลด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ที่สภาพแวดล้อมในยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน อาทิ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยในการตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้ได้ ซึ่งกรมฯ จะดำเนินกิจกรรมเชิงรุกเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญา ส่งเสริมการนำนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญามาใช้ประโยชน์ และตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ SMEs ท่ามกลางภาวะการแข่งขันทางการค้าที่เข้มข้นในปัจจุบัน
นางอรมน กล่าวยืนยันว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติทันที โดยจัดทำแผนงานที่ตอบโจทย์นโยบายเร่งด่วน ทั้งด้านการส่งเสริมการพัฒนา GI การจับคู่นวัตกรรมที่เหมาะสมให้ผู้ประกอบการ และการบ่มเพาะผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้มแข็ง ผ่านการใช้ประโยชน์จากระบบทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า ทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน