นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า จากที่บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้มีการยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ให้กรมทางหลวง ชดเชยผลกระทบโควิดช่วงปี 2563-2565 กรณีสูญเสียรายได้ค่าผ่านทางเป็นเงินกว่า 2.3 พันล้านบาท นั้น ในส่วนของกรมทางหลวงได้ดำเนินการยื่นคำคัดค้านไปตามสิทธิ์และขั้นตอนแล้ว พร้อมกันนี้ กรมทางหลวงได้มีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อให้เข้ามาตรวจสอบข้อมูลตัวเลขทางด้านการเงิน และระยะเวลาที่ทางเอกชนเรียกร้องค่าเสียหายเข้ามาว่า มีความเหมาะสมถูกต้องอย่างไร โดยเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว จะนำส่งให้ทางอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อไป
โดยการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นไปตามระเบียบ ซึ่งนอกจากยื่นคัดค้าน แล้ว กรณีที่เอกชนเรียกร้องค่าชดเชยเข้ามา กรมทางหลวงจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินเข้ามาช่วยตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อความรอบคอบ ดังนั้นหากยังไม่ได้ข้อสรุปที่มีความชัดเจน ก็สามารถยื่นขอขยายกรอบเวลาคัดค้านได้ตามเหตุผลความจำเป็น เพราะเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ที่ผ่านมามีการเจรจา แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกัน การตีความข้อกำหนดในสัญญาที่ระบุว่าจะสามารถเจรจาเยียวยากรณีมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น กรณีเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น เอกชนตีความเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้ได้รับผลกระทบถึง 2 ปี 6 เดือนนั้น ขณะที่กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวง มองว่าไม่ได้เป็นเหตุสุดวิสัยและไม่ได้มีระยะเวลาถึง 2 ปี 6 เดือน
โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง – ดอนเมือง (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (‘สัญญาสัมปทาน”) ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัทฯ เพื่อให้กรมทางหลวง แก้ไขผลเสียต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯ
ระบุว่า บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) จากกรมทางหลวง รวม 2 ตอน ได้แก่ สัมปทานทางหลวงตอนดินแดง – ดอนเมือง และสัมปทาน ทางหลวงตอนดอนเมือง – อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างอายุสัญญาสัมปทานในปี 2563 ถึงปี 2565 ปรากฎการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาสัมปทาน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรลดลง และทำให้เกิดผลเสียต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนเงิน 2,307,899,050 บาท ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาสัมปทานโดยแจ้งเหตุสุดวิสัย