ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินบาท ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนที่ 32.14 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ จากการคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่า 0.25% อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกทยอยอ่อนค่าไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ (อ่อนค่าสุดนับตั้งแต่ 20 ก.ย. 2567) ตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังประธานเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ยังคงมีความไม่แน่นอนว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่มากกว่า 0.25% หรือไม่ในการประชุมเดือนพ.ย.นี้ ประกอบกับมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด (อาทิ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนรายงานโดย ADP และดัชนี ISM ภาคบริการเดือนก.ย.) และจากแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
สำหรับในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (27 ก.ย. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 30 ก.ย.-4 ต.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยที่ 11,829 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 14,184 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 14,179 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)
โดยในสัปดาห์นี้ (ระหว่างวันที่ 7-11 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.50-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองผู้บริโภคเดือนต.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามรายงานการประชุมเฟดเมื่อ 17-18 ก.ย. และสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดด้วยเช่นกัน