นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยลบจากสงครามการค้า สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมาก สถานการณ์ความไม่แน่นอนสูงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่กลุ่มลูกค้าขนาดเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อได้รับผลกระทบแต่มีสัญญาณชัดเจนว่าลามกระทบธุรกิจรายใหญ่แล้ว สาเหตุจากธุรกิจของลูกค้าอ่อนแอลง ส่งผลถึงการชำระหนี้ที่เริ่มผิดปกติมากขึ้นจากรายใหญ่ ดังนั้น ต้องยอมรับว่าน่าเป็นห่วง ในส่วนของธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ มากขึ้นก่อนที่จะลุกลามเป็นหนี้เสีย หรือแม้แต่การยืดการชำระหนี้ต่างๆ เช่น จาก 3 ปี เป็น 5 ปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เห็นปัญหาต่อเนื่องถือว่ากระจายตัวอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เพราะวันนี้มีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากผลกระทบก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่โควิด-19 เช่นกลุ่มส่งออก กลุ่มสิ่งทอต่างๆ และหลังจากนี้กลุ่มนี้ยังต้องติดตามใกล้ชิดจากผลกระทบจากสงครามการค้า ปัจจุบันภาคการส่งออกบางส่วนแม้จะยังขายได้แต่มาจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น หลังจากนี้กลุ่มเหล่านี้ต้องติดตามมากขึ้น
ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวต่อไปว่า ธนาคารเข้าไปดูแลมากขึ้น เช่นกระแสเงินสดเป็นอย่างไร ธุรกิจเป็นอย่างไร รวมถึงการปรับโครงสร้างต่างๆเท่าที่ธนาคารทำได้ ช่วงผ่านมาจึงทำให้หนี้เสียยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก หน้าที่ของแบงก์ไม่ใช่แค่ยึดทรัพย์ แบงก์ไม่ใช่โจร แต่หน้าที่เรา คือต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ให้รอดไปด้วยกัน ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัด
สำหรับภาวะสินเชื่อในไทยช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 ยังคงมีทิศทางชะลอตัวว ธนาคารก็ต้องมีการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น สินเชื่อไม่มีการขยายตัวมาเป็นเวลา 5 เดือนผ่านมา สะท้อนถึงตลาดสินเชื่อของธนาคารอ่อนแอลงมาตลอด หากคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต ประเมินว่าสินเชื่อต่างๆ น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันบนภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ธนาคารระมัดระวังตัวเองมานาน และต่อเนื่องในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากสถานการณ์โลกขณะนี้แย่ลง ลูกค้าของธนาคารก็แย่ลง ไม่มีลูกค้ามาขอสินเชื่อเพิ่ม อย่าไปเข้าใจว่าธนาคารไม่อยากปล่อยสินเชื่อ แต่สถานการณ์วันนี้มันไม่เอื้อ
ดังนั้น ถ้าสหรัฐคงการเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศไทยที่ 36% ธุรกิจและเศรษฐกิจไทยจะเหนื่อยมากขึ้น ธนาคารจึงต้องประเมินสถานการณ์หลังพ้นกำหนดผ่อนผัน 90 วันของมาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs และผลเจรจาภาษีและการค้าระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในกลางปีนี้