นางสาวมทินา วัชรวราทร, CFA, Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้น เป็นโอกาสกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน โดยให้น้ำหนักที่หุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 50% เนื่องจากเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นสูง มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยตลาดสหรัฐฯ มีปัจจัยหนุนอยู่ 2 ด้าน ได้แก่
1) การเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว หรือที่เรียกว่ากลุ่ม The Magnificent Seven หรือ หุ้น 7 นางฟ้า
2) จำนวนประชากรภายในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงงานใหม่ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการบริโภค ทำให้ภาคบริการเติบโต ช่วยลดปัญหาขาดแคลนแรงงานจากสังคมสูงวัย
ขณะเดียวกัน ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในสหรัฐฯ แนะทยอยเข้าลงทุนในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับฐาน
ในส่วนของยุโรป อยู่ในธีม ‘Rethink’ ที่ต้องจับตาประเด็นการเมืองหลังและนโยบายการคลัง จากที่พรรคฝ่ายขวาจัดได้จำนวนเสียงที่นั่งเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งสภายุโรป ทำให้เกิดการเทขายหุ้นและพันธบัตรฝรั่งเศส เพราะนักลงทุนไม่มั่นใจว่าพรรคฝ่ายขวาจัดจะมีนโยบายเพิ่มหนี้สาธารณะอีกแค่ไหน แต่ตัวชี้วัดทางการเศรษฐกิจหลายตัว เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาคการผลิตมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าหลักอย่างประเทศจีน และมีจุดสำคัญของตลาดหุ้นยุโรปคือมูลค่าหุ้นยังไม่แพง และมีสัดส่วนกำไรเติบโต แนะนำให้รอดูผลการเลือกตั้งฝรั่งเศสก่อนที่จะเข้าเก็บสะสมหุ้นยุโรปเข้าพอร์ต
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่น อยู่ในช่วง ‘Reform & Recovery’ เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ หลังจากโควิด-19 ทั้งเงินเฟ้อและค่าจ้างของญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 30 ปี ทำให้คนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนตัว ทำให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวเติบโต นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นยังมีมาตรการกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนนำเงินสดที่มีอยู่ในระดับสูงไปลงทุนเพิ่ม เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ตลาดหุ้น และทำให้ต่างชาติหันกลับมาสนใจตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากขึ้น จนทำให้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น จนทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ได้ในรอบกว่า 30 ปี ข้อควรระวังคือค่าเงินเยนที่อ่อนเกินไป จะทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในการลงทุน และทำให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศได้
ตลาดจีน อยู่ในช่วง ‘Rebalancing’ หรือปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ หลังจากภาคอสังหาฯ มีปัญหา ภาคการผลิตมีจุดอ่อนโดนกีดกันทางการค้า ทำให้ต้องหาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งจีนมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานสะอาด (Clean Tech) ที่ช่วยลดปัญหามลพิษในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เซมิคอนดัคเตอร์ (Semi-Conductor) และ AI นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ว่าจะช่วยฟื้นกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนอินเดียอยู่ในช่วง ‘Rising Rapidly’ มีศักยภาพในการเติบโตสูงด้วยประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก มีการลงทุนจากภาครัฐ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การนำอินเดียเข้าไปอยู่ใน Global Supply Chain และแก้กฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ถึงแม้ว่าพรรค BJP ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี จะไม่ได้ชนะแบบแลนด์สไลด์ แต่ก็ยังครองเสียงข้างมากในสภาอยู่ ทำให้นโยบายการลงทุนภาครัฐยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าการแก้กฎหมายต่างๆ จะทำได้ยากขึ้นเนื่องจากเป็นรัฐบาลผสม
สำหรับภูมิภาคอาเซียน เวียดนามเป็น ‘Rising Star’ มีมุมมองเชิงบวกมาโดยตลอด ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า และนโยบายสำคัญของจีนที่กำลังดำเนินการอยู่คือ China Plus One โดยจีนยังเป็นตลาดหลักของภาคการผลิต แต่มองหาตลาดใหม่เพื่อกระจาย Supply Chain โดยใน 4 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการส่งออกของเวียดนามเติบโตกว่า 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลักๆ มาจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของเวียดนาม